3 ประสาน มาเน่-บ๊อบบี้-ซาลาห์ผู้กำหนดชีวิต LFC

ไม่มีนักเตะใหม่ ก็ฝากความหวังไว้ที่ของดีเดิมๆที่มีอยู่แล้ว

ไม่มีนักเตะใหม่ ก็ฝากความหวังไว้ที่ของดีเดิมๆที่มีอยู่แล้ว

กองหน้า 3 คนของลิเวอร์พูล กลายเป็นกองหน้าดีสุดชุดหนึ่งในยุโรป

ไม่มีนักเตะใหม่ ก็ฝากความหวังไว้ที่ของดีเดิมๆที่มีอยู่แล้ว

 

โม ซาลาห์ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่และซาดิโอ มาเน่ กับ 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา จนถึงช่วงพีคสุดด้วยการคว้าแชมป์ยุโรป แชมป์ซูเปอร์ คัพ  แชมป์สโมสรโลกและแชมป์พรีเมียร์ ลีก

“ลองคิดดู ผมคงต้องไปทำงานที่ไหนสักที่ หากนักเตะ 3 คนนี้ไม่ได้เล่นให้ผม” เยอร์เก้น คลอปป์ยกย่อง หลังซาลาห์ยิง 2  ประตูในเกมที่ไบรท์ตันเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา 3 คนยิงรวมกัน 250 ประตูให้ลิเวอร์พูลในยุคJK

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลยุคคลอปป์ผลงานสม่ำเสมอยิ่งขึ้น แต่ประตูของนักเตะ 3 คนนั้นกลับลดลง

91 ประตูในทุกรายการและ 57 ประตูในลีก คือผลงานรวมของ 3 คนระหว่างฤดูกาล 2017-18 ฤดูกาล 2018-19 ตัวเลขทั้งหมด ลดเหลือ 69 ประตู และ 56 ประตูในลีก จนที่สุด ฤดูกาลคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก 2019-20 ทั้ง 3 คนยิงรวมกัน 57 ประตูในทุกรายการ และ 46 ประตูในลีก

สถิติต่างๆ อาจอธิบายบทบาทและผลงานของทั้ง 3 คนในทีมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงการปรับแท็คติกของคลอปป์ เพื่อให้ลิเวอร์พูลสามารถชนะได้ต่อเนื่อง

เน้นเฉพาะพรีเมียร์ ลีก สถิติxG (Expected Goal) ของ 3 คนถือว่าใกล้เคียงกันตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา หรือโอกาสยิงมีพอๆกันสำหรับกองหน้า 3 คน

ซาลาห์ ยิงได้มากกว่าตัวเลข xG 0.71 (expected goals ประตูที่ควรยิงได้ใน 90 นาที ไม่รวมจุดโทษ) ฤดูกาล 2017-18 เขายิงได้ 1.01 ประตูต่อเกม ฤดูกาลแรกของซาลาห์กับลิเวอร์พูล เขาทำสถิติยิง 32 ประตูใน 38 นัดของพรีเมียร์ ลีก เป็นเจ้าของรางวัลดาวยิงสูงสุดในลีก

การรักษาผลงานให้ดีเท่าเดิมเป็นเรื่องยากหลังผลงานโดดเด่นขนาดนั้น ฤดูกาลต่อมา xG ของซาลาห์ อยู่ที่0.49 ประตูยิงได้จริงอยู่ที่ 0.53 ต่อเกม  และฤดูกาล 2019-20 xg อยู่ที่ 0.52 และยิงได้ 0.50 ลูกต่อเกม

ฤดูกาล 2018-19 ซาลาห์คว้ารองเท้าทองทำร่วมกับมาเน่และปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยองของอาร์เซน่อล 22 ประตูในลีก ฤดูกาลล่าสุด เขายิงได้ 19 ประตู ตามหลังราฮีม สเตอร์ลิง แดนนี่ อิงกส์ โอบาเมยอง และเจมี่ วาร์ดี้

ฟีร์มีโน่ ไม่ต่างกับซาลาห์ ผลงานดีที่สุดในการทำประตูต่อฤดูกาลคือ 2017-18 ยิง 15 ประตูในลีก 27 ประตูในทุกรายกร ดีกว่า ค่า xG 0.32 โดยยิงได้จริง 0.49 ประตูต่อเกม  จากนั้นผลงานตก 2018-19 ค่า xG อยู่ที่ 0.50แต่ยิงได้แค่ 0.39  และ 2019-20 ค่า xG 0.43 ยิงได้แค่ 0.29 ต่อเกม

เขายิงได้ประตูเดียวที่แอนฟิลด์ตลอดฤดูกาล คือเกมสุดท้ายในบ้านกับเชลซี โดยรวม ฟีร์มีโน่ยิงได้ 9 ประตูใน ลีก น้อยกว่าปี 2018-19 3 ประตู มาเน่เป็นคนเดียวในกองหน้า 3 คน ที่ผลงานจริงดีกว่าค่า xG  ตลอดทั้ง 3 ฤดูกาล

สถิติของมาเน่คือ 2017-18 xG 0.40 ยิงได้ 0.44 ไม่รวมจุดโทษ 2018-19 xG 0.48 ยิงได้จริง 0.71 และ 2019-20 xG  0.45 ยิงได้จริง 0.58 ประตูต่อเกม มาเน่ยิง 10 ประตูในลีก สำหรับฤดูกาล 17-18 2018-19 ยิงเป็น 22 ประตู และล่าสุดยิง 18 ประตู

สำหรับ การสร้างโอกาส xA (Expected Assist) กับแอสซิสต์ที่เกิดขึ้นจริง ของ 3 คน ซาลาห์ มี xA ดีสุด 0.23 ต่อ 90 นาที สำหรับฤดูกาล 2017-18 เพิ่มเป็น 0.26 ใน 2018-19 และ 0.24 ในฤดูกาล 20.19-20 สำหรับแอสซิสต์จริงของซาลาห์ ใน 3 ฤดูกาลคือ 0.31 สำหรับปี 17-18 0.22 สำหรับปี 18-19 และ 0.31 ในฤดูกาล 19-20

xA ของฟีร์มีโน่ ค่อนข้างสม่ำเสมอ 0.21 สำหรับปี 17-18 0.19 ในปี 18-19 และ 0.24 ในปี 2019-20 แอสซิสต์จริงที่ทำได้ของบ๊อบบี้คือ 0.23 สำหรับฤดูกาล 17-18 0.21 สำหรับปี 18-19 และ 0.24 สำหรับฤดูกาลที่ผ่านมา

มาเน่ มีค่า xA 0.22 สำหรับฤดูกาล 17-18 0.13 ในฤดูกาล 18-19 และ 0.22 ในฤดูกาล 19-20 ความจริง Opta Stat ให้เครดิตเขาแค่ 1 แอสซิสต์สำหรับฤดูกาล 2018-19 หรือ 0.03 ด้วยซ้ำไป ส่วนสองฤดูกาล ก่อนและหลัง ปี 17-18 เขาแอสซิสต์ได้ 0.29 ต่อเกม และ 2019-20 เขาทำได้ 0.23 ครั้งต่อเกม

เทียบกับทั้งลีก ทั้ง 3 ผลงานไม่โดดเด่นเลย ซาลาห์อยู่ที่ 14 ของลีก xA 0.24 โดยอันดับหนึ่งคือ เควิน เดอ บรอยน ของแมนฯ ซิตี้ มี 0.64 ขณะที่คนที่มี xA สูงสุดของลิเวอร์พูลคือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อยู่ที่ 6 ในลีก xA 0.31

น่าสนใจกว่านั้น ซาลาห์และฟีร์มีโน่ได้บอลน้อยลงตลอด 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา สำหรับซาลาห์ เฉลี่ยต่อเกม เขาได้บอล 51 ครั้งใน 90 นาที 2018-19 ได้ 50.3 ครั้ง และ 2019-20 ได้ 46.4 ฟีร์มีโน่ ก็ได้บอลน้อยลงเหมือนกัน 56.7 54.8 และ 0.1 ตามลำดับ

มาเน่ได้บอลมากกว่าทั้งซาลาห์และบ๊อบบี้ในปี 2017-18 เขาได้บอล 60 ครั้งใน 90 นาที จากนั้นเหลือ 49.4 ในฤดูกาล 2018-19 และดีขึ้น ในปี 2019-20 เป็น 57.3

บอลส่วนใหญ่ของลิเวอร์พูลอยู่กับใคร อย่าลืมว่า ส่วนใหญ่แต่ละเกม ลิเวอร์พูลตรองบอลมากกว่า 50 %

คำตอบคือ บอลไปอยู่กับฟูล-แบ๊ค อาร์โนลด์ได้บอล 12.9 % และแอนดี้ โรเบิร์ตสันได้ 12.1 % ของสถิติครองบอลทั้งหมดของทีมในฤดกาล 2019-20 สองฤดูกาลก่อนหน้านั้น อาร์โนลดืได้บอล 11.2 % และโรเบิร์ตสันได้บอล 10.7 %

ทั้งหมดสัมพันธ์กับการเล่นของลิเวอร์พูลที่เปลี่ยนไป 2017-18 ลิเวอร์พูลอันตรายเวลาสวนกลับด้วยความเร็ว ซึ่งคลอปป์รู้ดีว่า ฝ่ายตรงข้ามสามารถจับทาง 3 ประสานได้แน่นอน เพราะฉะนั้น มาเน่ ฟีร์มีโน่และซาลาห์ จะมีพื้นที่น้อยลง เพราะฉะนั้น ลิเวอร์พูลต้องหาอาวุธใหม่

คลอปป์และสตาฟโค้ชปั้น ฟูล-แบ๊คสองข้างให้เป็นเพลย์เมคเกอร์  เช่นเดียวกับใช้โอกาสจากลูกตั้งเตะให้ดีกว่าเดิม

2  ฤดูกาลล่าสุด การเล่นของลิเวอร์พูล พยายามเน้นความแน่นอนมากขึ้น กองหลังต้องแข็งแกร่งและกลางช่วงเกมรับ ทำให้เซนเตอร์และมิดฟิลด์ตัวกลางครองบอลมากขึ้น ส่งผลให้กองหน้าได้บอลน้อยลง และหน้าที่ของทั้ง 3 คน คือกดดันคู่ต่อสู้ บีบฝ่ายตรงข้ามให้ผิดพลาดที่พยายามตั้งเกมจากแดนหลังขึ้นมา

วิธีการนี้ เหมือนโดนจับทางได้ตอนปลายฤดูกาล นับแต่กุมภาพันธ์เป็นต้นมา ลิเวอร์พูลชนะแค่ 7 จาก 16 เกม ถ้าอาศัยความรู้สึกมากกว่าตัวเลข ลิเวอร์พูลเล่นดีสักกี่เกมนับตั้งแต่เดือนที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งหลายเกมเกี่ยวข้องกับการคว้าแชมป์เรียบร้อย

แต่เกมคอมมิวนิตี้ ชิลด์กับอาร์เซน่อล ไม่นับการแพ้จุดโทษ  นั่นคืออีกเกมที่ลิเวอร์พูลควรทำได้ดีกว่านี้ แต่มีข้อแก้ตัวได้ว่า พวกเขาขาดตัวหลัก อย่างจอร์แดน เฮนเดอร์สัน และอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

อย่างไรก็ตาม บทบาทของทั้ง 3 คนจะเป็นอย่างไร ในฤดูกาลใหม่ คลอปป์จะพัฒนาทีมอย่างไร ด้วยองค์ประกอบเดิม

อันนี้น่าสนใจ เพราะเงื่อนไขคือ ทั้งลีกรู้ว่าจะหยุดลิเวอร์พูลอย่างไร

 

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี