#โอริกี้ ไม่ใช่คำตอบสำหรับฤดูกาลหน้า

โอริกี้ ไม่ใช่คำตอบสำหรับฤดูกาลหน้า

ฤดูกาลยังไม่จบแต่หลายคนมองถึงอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เดอะ ค็อปและเดอะ ซิติเซนส์  สองทีมที่ผลงานโดดเด่นเกว่าทีมอื่นๆในพรีเมียร์ ลีก ตั้งแต่ฤดูกาล 18/19 จนถึงปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด

ฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ซิตี้เบียดแย่งแชมป์กับลิเวอร์พูลอย่างสุดมัน 98-97 หากเป็นฤดูกาลก่อนหน้านี้  97 แต้มเป็นแชมป์แบบสบายๆ เช่น ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลไม่ต้องการ 98 แต้มเพื่อเป็นแชมป์ 86 แต้มก็เพียงพอ เพราะแมนฯ ซิตี้ แพ้ถึง 8 เกม  ไม่รวมการแพ้เซาแธมป์ตันเมื่อคืนวันอาทิตย์ ขณะที่พวกเขาแพ้ 4 นัดในฤดูกาลที่แล้ว และ 2 นัดในฤดูกาล 17/18

 

มาตรฐานที่แมนฯ ซิตี้วางไว้ หมายความว่า ใครอยากเป็นแชมป์ต้องมองที่ 90 แต้ม หรือ 98 แต้มแบบฤดูกาลที่แล้ว อันเป็นแรงกระตุ้นให้ลิเวอร์พูลพยายามรักษามาตรฐาน มองถึง 3 แต้มทุกนัดที่ลงสนาม ก่อนเกมตัดสินแชมป์ ลิเวอร์พูลชนะพาเลซ 4-0 และเชลซีชนะแมนฯ ซิตี้ 2-1 พิจารณาจากมาตรฐานของ 2 ทีม ไม่น่าแปลกใจว่า ฤดูกาลหน้า นี่คือสองทีมที่จะลุ้นแชมป์อย่างแน่นอน

แต่ฟุตบอลเป็นแบบนี้ ขนาดเป็ป กวาดิโอล่า ก็หาเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมแพ้ถึง 9 เกมในฤดูกาลนี้ ซึ่งการเสียประตูให้เซาแธมป์ตัน จากปากคำของราล์ฟ ฮาเซนฮุตเทิ่ลคือ การจับจุดหนึ่งในการเล่นของซิตี้มาเป็นประเด็นคือ เอแอร์สัน มักออกมาไกลจากหน้าประตูตัวเอง เพราะเป็ปต้องการให้เอแดร์สันเป็นจุดเริ่มต้นของเกม การเล่นฟุตบอลด้วยเท้าที่ดีคือคุณสมบัติสำคัญของประตูที่เป็ปต้องการ ไม่ใช่แค่มือเหนียวอย่างเดียว

กรณีนี้เป็ปตอบนักข่าวที่อ้างสไตล์การเล่นนี้ว่า ไมใช่เหตุผลที่ทำให้ซิตี้แพ้เซาแธมป์ตัน หรืออีก 8 นัดก่อนหน้านี้

คือซิตี้คุมเกมได้หมด มีโอกาสมากกว่า ครองบอลทั้งเกม 73.7 % โอกาสยิงทั้งหมด 26 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง แต่ไม่ได้สักประตู ขณะที่เซาแธมป์ตันครองบอล 26.3 % โอกาสยิงทั้งหมด 8 ครั้ง เข้ากรอบ 4 ครั้งได้ 1 ประตู “โอกาสที่เกิดขึ้นมีมากมาย แต่ยิงไม่ได้” เป็ปกล่าวหลังแพ้เซาแธมป์ตัน สถานการณ์เหมือนเกมกับลิเวอร์พูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่เป็ปและซิตี้อยู่ในสถานการณ์ตรงกันข้าม

ลิเวอร์พูลเจอปัญหากับทีมตั้งรับต่ำ แทบทุกทีมในแผนการนี้เล่นงานนักเตะของเยอร์เก้น คลอปป์ ก็แน่ล่ะ คงไม่มีทีมไหนกล้าเปิดเกมแลกกับลิเวอร์พูล ยกเว้นแมนฯ ซิตี้ ซึ่งแผนการเล่นของลิเวอร์พูลเกมดังกล่าว ยิ่งทำให้แมนฯ ซิตี้เล่นง่ายขึ้น นักวิจารณ์ทั้งหลายควรย้อนกลับไปดูสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ ว่าปัญหาของลิเวอร์พูลคืออะไร และแมนฯ ซิตี้เป็นอย่างไรเมื่อเจอเกมแบบเดียวกัน

เพราะโอกาสทุกครั้งที่เราสร้างขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ประตู เซาแธมป์ตันมาเยือนแอนฟิลด์เมื่อกุมภาพันธ์ โดยฮาเซนฮุตเทิ่ลตั้งเป้าว่า ไม่อุด อยากรู้ว่าทีมของเขาก้าวหน้าแค่ไหนหากเล่นฟุตบอลกับลิเวอร์พูลของเยอร์เก้น คลอปป์ที่มีแต่คนชมว่า เป็นอันดับ 1 ของยุโรป ณ ขณะนี้ คำตอบคือ 4-0 แต่เกมไม่ง่ายเหมือนสกอร์ที่ขาดกระจุย ขณะที่นัดแรกที่เซนต์ แมรี่ เซาแธมป์ตันเล่นลักษณะเดียวกับเกมที่กำราบซิตี้ รับลึก ซึ่งลิเวอร์พูลเอาชนะได้ 2-1 เมื่อสิงหาคม

เกมนั่นคือเกมที่สองของพรีเมียร์ ลีกและลิเวอร์พูลค่อยๆ สร้างโมเมนตั้มได้

เกมของลิเวอร์พูลและแมนฯ ซิตี้ที่เหลือในฤดูกาลนี้คือการวางแผนเพื่อฤดูกาลหน้า ตามมุมมองผม เหมือนบอกกลายๆว่า ลิเวอร์พูลกับซิตี้จะพัฒนาให้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร

หากเทียบขุมกำลังระหว่าง 2 ทีม แยกผู้เล่นแต่ละคนออกมา 11 ตัวจริงนัดถล่มลิเวอร์พูล 4-0 กับแพ้เซาแธมป์ตัน 1-0 ไม่อ่อนด้อยกว่ากันนัก โดยชุดเจอลิเวอร์พูลน่าจะเป็นการจัดทีมดีที่สุดของเป็ปเมื่อไม่มีกุน อาเกวโร่  เขาเปลี่ยนผู้เล่น แบ็คซ้ายขวา กลาง 3 คน หน้าอีก 1 คน แต่ไม่กระทบต่อความไหลลื่นของซิตี้ ทีมนี้ยังเหนือชั้นเช่นเดิม แต่ไม่สามารถยิงได้แบบซัดลิเวอร์พูล

ขณะที่เยอร์เก้น คลอปป์ ก็เปลี่ยนนักเตะเหมือนกัน คลอปป์เปลี่ยนกลาง 2 คน ให้ฟาบินโญ่คุมเชิง มีนาบี เคต้า และอ๊อกซ์เลด แชมเบอร์เลน ลงมาขยับเกมรุก แทน จีนี่ ไวนัลดุมและจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ปรับหน้า 1 คน ดร็อป บ๊อบบี้ ฟีร์มีโน่ที่ดูเนือยจากเกมที่แล้ว ให้ดิว็อค โอริกี้เล่นตัวกลางแทน มีซาดิโอ มาเน่และโม ซาลาห์ลุยด้านข้าง

ขณะที่แมนฯ ซิตี้มีโอกาสยิงเซาแธมป์ตันครึ่งแรก 8 ครั้ง ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงครึ่งแรก 2 ครั้งเข้ากรอบ 1 ครั้ง เจอข้อสอบๆคล้ายๆกัน การปรับเปลี่ยนของลิเวอร์พูลกระทบมาตรฐานการเล่นมากกว่า พูดง่ายๆ ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูลไม่เคยต้องรอนานกว่า 30 นาทีแรก สำหรับโอกาสยิงครั้งแรก และพวกเขา แต่ต้องรอประตูแรกนานมากในเกมกับ แอสตัน วิลล่าที่วิลล่า พาร์ค และเชฟฟิลด์ ยูฯที่บรามอลล์ เลน

ความเห็นของผมคือ หากวันใด คลอปป์อยากพักผู้เล่น ไม่อยากใช้ มาเน่-ฟีร์มีโน่-ซาลาห์ พร้อมกันตามปกติ หายนะมาเยือนได้ง่าย กับแอสตัน วิลล่า หากไม่ใช่เวอร์จิล ฟาน ไดค์ หรืออลิซง เผลอๆ ลิเวอร์พูลอาจมีสกอร์แบบเดียวกับแมนฯ ซิตี้ ไม่ใช่ทำสถิติชนะในบ้านติดต่อกัน 24 เกม เฉพาะฤดูกาลนี้ 17 นัด มีโอกาสทำสถิติชนะรวดทุกนัดในบ้าน และทิ้งห่างแมนฯ ซิตี้ ทีมอันดับ 2 เป็น 23 คะแนนจาก 33 นัด การนำห่างที่สุดระหว่างอันดับ 1และ 2 ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ

มาเน่ ฟีร์มีโน่ และซาลาห์คือ 3 ใน 17 คนของลิเวอร์พูลที่ทำประตูได้ 41 / 72 ประตูในลีก (มาเน่16 ฟีร์มีโน่8  และซาลาห์17) จากนั้นสถิตอการทำประตูกระจายออกไป โดยกองหน้าอีกคนที่ยิงได้คือ ดิว็อค โอริกี้ เจ้าของผลงาน 3 ประตูในลีกฤดูกาลนี้  จะว่าไป ก็ไม่เลวหรอก สำหรับนักเตะที่มีโอกาสเล่น 25 นัดเป็นตัวสำรองเสีย 19 นัด รวมถึงการยิงประตูสำคัญในดาร์บี้แม็ทช์ รอบรองแชมเปี้ยนส์ ลีกกับบาร์เซโลน่าและนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีกกับท็อตแน่ม

แต่ผลกระทบเมื่อ ทีมมีโอริกี้กับฟีร์มีโน่ในสนามต่างกันราวฟ้ากับดิน

พูดง่ายๆ โอริกี้ไม่ใช่นักเตะที่ลิเวอร์พูลจะฝากผีฝากไข้ หลายคนแทบอยากปิด(ถีบทีวี)ในครึ่งแรก กับความไม่เอาไหนของโอริกี้ และคลอปป์ก็พยายามเหลือเกินที่จะปรับเกมให้โอริกี้เล่น ให้อยู่ตรงกลาง เอ็งก็จะขยับมาซ้าย เออ งั้นมาซ้ายนะ มาเน่ไปกลางแทน เอ็งก็ช้า จับบอลลั่นตลอด งั้นไปขวาแล้วกัน ซาลาห์ซึ่งคลอปป์ยกตำแหน่งด้านขวาให้เพื่อให้นักเตะอียิปต์ยอมเซ็นสัญญาก็เปลี่ยนตำแหน่ง ผลงานก็เหมือนเดิม

ความจริงนับแต่มีกฏเปลี่ยนผู้เล่นได้ 5 คนนับตั้งแต่โปรเจคต์ รีสตาร์ทเพิ่มขึ้น คลอปป์มักเปลี่ยนตัวสำรองเร็ว แต่เกมนี้ รอจนนาที 61 แล้วเปลี่ยน 3 คนรวด คือ อ๊อกซ์เลด เชมเบอร์เลน ฟาบินโญ่และโอริกี้ แล้วส่ง ไวนัลดุม เฮนเดอร์สันและฟีร์มีโน่ลงไป นั่นแหละลิเวอร์พูลถึงเล่นได้เหมือนเดิม แบ็คซ้ายขวาดูมีคลาส เกมรุกดีไปหมด จนนาบี เคต้าเปิดให้มาเน่ยิงลูกแรก และโม ซาลาห์โหม่งชงให้เคอร์ตีส โจนส์ ยิง นาที 89

ลิเวอร์พูลกับแมนฯ ซิตี้ เทียบกันทีมต่อทีมนี่ สูสีกินกันลงยาก บ้านใครบ้านมันแล้วแต่จังหวะ แต่ฟุตบอลลีกมีอีก 36 เกม พูดง่ายๆว่า ต่อให้ทั้งสองทีมแพ้กันและกันหมด แต่ทำได้ดีกว่ากับทีมอื่น ยังไงก็เป็นแชมป์ ลิเวอร์พูลไม่ต้องกังวลหรอกที่โดนซิตี้ถล่ม 4-0 ซี่งเกมนั้นผมว่าปัจจัยหลักอีกอย่างคือ ลิเวอร์พูลตื่นเต้นกับการเป็นแชมป์ และได้รับการ์ด ออฟ ฮอเนอร์ ดูหน้าตาเฮนโด้เขินยังไงพิกลตอนเดินผ่านแนวนักเตะซิตี้

ผิดกับฟาน ไดค์ เดินมาดเข้มผ่านนักเตะแอสตัน วิลล่า แต่ผมจะไม่สบายใจเลย หากเห็นโอริกี้เป็นตัวจริง แล้ว ฟีร์มีโน่ต้องนั่งตบยุงข้างสนาม

เป็นไปได้ก็อยากบอกเยอร์เก้น คลอปป์ว่า ซื้อเถอะครับ ใครก็ได้ ไม่งั้นผมงี้เครียด ความดันขึ้นทุกที เผลอๆจะต้องเปลี่ยนทีวีที่บ้านใหม่

ในสถานการณ์ด้านการเงินที่ลิเวอร์พูลประสบ ก็น่าเห็นใจ แต่ไม่อยากเห็นทีมที่กำลังต่อยอดความสำเร็จต้องสะดุดแบบแมนฯ ซิตี้ที่ไม่ปรับอะไรจากฤดูกาลที่แล้ว ด้วยคิดว่า ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ดีนะ อัฟริกัน เนชั่นส์ คัพเลื่อนไปอีกปี ไม่ต้องเสีย มาเน่และซาลาห์นานแรมเดือนในช่วงสำคัญ แต่ถ้าต้องหมุนเวียนนักเตะ เนื่องจากโปรแกรมชุก อย่างน้อยลิเวอร์พูลจะได้มีอะไหล่ที่ดีกว่านี้

ให้ดิว็อค โอริกี้ เป็นท่านเทพ เป็นตำนาน จากประตูในฐานะตัวสำรองกับเอฟเวอร์ตัน การยิงบาร์เซโลน่าและท็อตแน่มก็พอ อยากให้ท่านต้องเป็นภาระแบบทีมแบบ บ๊อบบี้ ฟีร์มีโน่เลย

.

.

บทความโดย กิตติกร อุดมผล

Facebook fanpage: Captain No.12

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความก่อนหน้า :: บทความลิเวอร์พูล