#เสมอแบบจืดๆแต่เข้าใกล้แชมป์อีก 1 ก้าว

เสมอแบบจืดๆแต่เข้าใกล้แชมป์อีก 1 ก้าว

เยอร์เก้น คลอปป์ต้องผิดหวังอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับคาร์โล อันเชล็อตติ เช่นเดียวกับการคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกที่ต้องยืดยาวออกไปอีก

ทุกคนรู้ดี ลิเวอร์พูลต้องการชัยชนะอีก 2 นัดเท่านั้น คำถามคือ ทีมจะเป็นอย่างไรหลังจากพักไปยาวนาน ยิ่งกว่านั้น ลิเวอร์พูลอยู่ในช่วงผลงานไม่ดีก่อนพักเมื่อ 11 มีนาคม แพ้ 3 จาก 6 เกมในทุกรายการ หากเกมแรกของการคืนสนาม ไม่ใช่ดาร์บี้แม็ทช์ งานของลิเวอร์พูลอาจง่ายกว่านี้

ดาร์บี้แม็ทช์เหมือนเดิมหรือไม่ เมื่อไม่มีคนดูในสนาม ก็เหมือนถามว่าฟุตบอลเหมือนเดิมหรือไม่ ที่ต้องเล่นแบบไม่มีคนดู ในแง่ของฟุตบอลคำตอบคือ เหมือนเดิม แต่บรรยากาศอาจไม่หึกเหิมและเร้าใจ และบางทีเสียงเชียร์ที่ทีมโปรดักชั่นของพรีเมียร์ ลีก พยายามเปิดเพื่อสร้างบรรยากาศเหมือนไม่ค่อยมีเหตุผล ผมรู้สึกรำคาญมากกว่าสนุก หากเทียบกับเสียงเชียร์จริง

อย่างไรก็ตาม ดาร์บี้แม็ทช์ ระหว่างสองทีม ที่กูดิสัน พาร์ด เสมอ 7/8 เกมล่าสุด และนัดสุดท้ายที่เอฟเวอร์ตัน ชนะลิเวอร์พูลยังเป็น ตุลาคม 2010

ลิเวอร์พูลไม่แพ้เอฟเวอร์ตัน 22 เกม (ชนะ 11 เสมอ 11) ยาวนานที่สุดสำหรับการไม่แพ้ทีมๆเดียว เท่ากับไม่แพ้แอสตัน วิลล่า ระหว่างปี 1981-1992 ขณะที่เอฟเวอร์ตันไม่ชนะลิเวอร์พูล 22 เกม เกือบเท่าสถิติไม่ชนะคู่แข่งทีมเดียวยาวนานที่สุด คือ การไม่ชนะเชลซีติดต่อกัน 24 เกม ระหว่างปี 2001-2009

เพราะฉะนั้น ถามว่าใครพอใจกว่ากันที่เกมจบด้วยการเสมอ น่าจะเป็นเอฟเวอร์ตัน

หากถามว่า ในโอกาส 9 ครั้งของเอฟเวอร์ตัน และ 10 ครั้งของลิเวอร์พูล ทีมไหนน่าชนะมากกว่ากัน คงเป็นเอฟเวอร์ตัน โดยเฉพาะการเล่นระหว่างริชาร์ลิสันกับโดมินิค คัลเวิร์ต เลอวีน และทอม เดวีส์ยิงชนเสา ริชาร์ลิสันอาจรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตัวเองมากกว่าหลังจากพูดถึงเวอร์จิล ฟาน ไดค์ มี 2 จังหวะที่เขาน่าจะเปิดเข้ากลางมากกว่ายิงเอง คาดว่า เพราะอยากยิงลิเวอร์พูลให้ได้

เอฟเวอร์ตันผลงานดีขึ้นนับตั้งแต่คาร์โล อันเชล็อตติคุมทีม ไม่แพ้ในบ้านทุกรายการ 10 เกม สำหรับปี 2020 เห็นได้ชัดว่า เพราะอะไร สถิติของ Optaในเรื่องระบบการเล่น และตำแหน่งเฉลี่ยของเอฟเวอร์ตัน ปักหลักในแดนตัวเองมากกว่าขยับเข้าสู่แดนฝ่ายตรงข้าม ทุกทีมที่เจอลิเวอร์พูลพยายามเล่นแบบนั้น เพราะอย่างน้อยทีมมีโอกาสได้ 1 คะแนน

ลิเวอร์พูลขาดโม ซาลาห์ ซึ่งเป็นตัวสำรอง และแอนดี้ โรเบิร์ตสัน ไม่อยู่ในรายชื่อสำรอง โดยคลอปป์ให้เหตุผลว่า ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะทั้งสองไม่สามารถซ้อมร่วมกับทีมได้มากพอ จนทำให้เขามั่นใจว่า ฟิตพอจะลงเล่น แต่เกมต่อไปกับคริสตัล พาเลซ พุธที่ 24 มิถายนทั้งสองคนพร้อมแน่นอน เจมส์ มิลเนอร์แทนที่แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ไม่น่าจะเป็นปัญหา จนกระทั่งมิลลี่เจ็บในนาที 43  ทำให้เกมรุกด้านซ้ายของลิเวอร์พูลอ่อนไปถนัดใจ แม้โจ โกเมซทำได้ไม่เลว กับตำแหน่งแบ๊คซ้าย เติมเกมรุกตามจังหวะ แต่ไม่มีการเปิดบอลด้านข้างเหมือนโรเบิร์ตสัน

ทาคูมิ มินามิโนะ เล่นแทนซาลาห์ อาจมีข้อแก้ตัวว่า ไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัด ซึ่งต้องยอมรับว่า นักเตะบางคนไม่มีความหรูหราว่า เมื่อลงสนาม โค้ชจัดให้เล่นตามถนัด มินามิโนะต้องปรับตัวเอง และใช้โอกาสที่มีให้ดีกว่านี้ เกมรุกด้านขวา มีผู้เล่นที่แข็งแกร่งกว่า อีกสองคนคือ จอร์แดน เฮนเดอร์สันและเทรนต์ อเลกซานเดอร์ อาร์โนลด์ ในแง่ของเกมรุกและสถิติที่เกิดขึ้น ต้องบอกว่า มินามิโนะสอบตก ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคลอปป์ถึงเปลี่ยนเขาออกตั้งแต่พักครึ่ง

ผมว่า กรณีนี้ คลอปป์และทีมฉลาดเรื่องแท็คติก การใช้จำนวนตัวสำรอง 5 คนให้เป็นประโยชน์ กติกาอนุญาตให้เปลี่ยนผู้เล่นจาก 3 เป็น 5 คนในช่วงนี้ก็จริง แต่สามารถทำได้ใน 3 ช่วงเท่านั้น การบาดเจ็บแบบไม่คาดฝันของมิลเนอร์ในนาที 43 โกเมซลง เท่ากับ 1 ช่วง เหลืออีก 2 ช่วง แต่การเปลี่ยนระหว่างพักครึ่ง ทำได้ ไม่นับเป็น 1 ใน 3 ช่วง เพราะฉะนั้น เมื่อ โจเอล มาติปบาดเจ็บในนาที 73 ลิเวอร์พูลยังสามารถใช้โควตาตัวสำรองได้

 

การเปลี่ยน มินามิโนะออก ให้อ๊อกซ์ลงแทน ไม่นับ การเปลี่ยน ฟีร์มีโน่และเกต้าในนาที 65 ให้ไวนัลดุมและโอริกี้ลง คือการเปลี่ยนช่วงที่ 2 เท่านั้น

คลอปป์ให้เหตุผลของการเปลี่ยนตัวว่า เมื่อทีมเปลี่ยนนักเตะได้ 5 คน ทำไมจะต้องรอจนนักเตะเหนื่อยแล้วถึงเปลี่ยน น่าจะเปลี่ยนตั้งแต่ช่วงที่เขาคิดว่าปรับเปลี่ยนเกมได้ อเล็กซ์ ออกซ์เลด แชมเบอร์เลนลงแทนหลังพักครึ่ง ซึ่งโดยสถิติไม่ดีกว่ามินามิโนะ แต่ดูเหมือนเกมลิเวอร์พูลดีขึ้น เพราะพวกเขาพยายามเล่นเร็วขึ้น ประโยชน์โพดผลต่อทีมพอๆกัน ไม่มีการผ่านบอลจังหวะสำคัญ ซึ่งทาคิยังมีโอกาสได้ยิง 2 ครั้งแต่ไม่เข้ากรอบเลย

การเล่นของลิเวอร์พูลกับทีมที่รับต่ำเป็นปัญหามาตลอด ซึ่งเราโทษว่าเอฟเวอร์ตันเอาแต่ตั้งรับไม่ได้ เพราะพวกเขาต้องให้เครดิตกับลิเวอร์พูล หากเปิดเกมแลก อาจแพ้เหมือนเกมเมื่อธันวาคม 5-2 และเอฟเอ คัพ เมื่อมกราคม 1-0 ซึ่งลิเวอร์พูลจะชนะต้องเล่นให้เร็วและดุดันแบบนั้น

ลิเวอร์พูลเจอปัญหานักเตะบาดเจ็บ ถึง 2 ครั้ง ไม่นับความไม่พร้อมของซาลาห์และโรเบิร์ตสัน มิลเนอร์และโจเอล มาติป ออกเท่ากับลิเวอร์พูลต้องใช้เซนเตอร์แบ็ค 3 คนเล่นในสนาม 1 คน เล่นตำแหน่งที่ไม่ถนัด คือโกเมซ อีก 1 คนไม่สร้างความน่าไว้วางใจเลย คือเดยัน ลอฟเร็น ซึ่งน่าเห็นใจมาก เพราะเขาไม่ได้เล่นมายาวกว่าเพื่อน เนื่องจากหลุดจากตำแหน่งตัวจริงให้โจ โกเมซ

คลอปป์ต้องจัดตัวแบบนี้ อาจเพราะคาดการณ์แล้วว่า เอฟเวอร์ตันจะทำอย่างไร และเขาต้องการอะไรจากเกมนี้ หากเป็นฤดูกาลปกติ ลิเวอร์พูลไม่ต้องเหนื่อยมาก เพราะตกรอบฟุตบอลถ้วยหมดทุกรายการ เหลือแต่พรีเมียร์ ลีก ลงสนามสัปดาห์ละนัด แต่สถานการณ์ปัจจุบัน เล่นทุก 3 วัน เพราะฉะนั้นเกมกับคริสตัล พาเลซ เป็นเรื่องต้องคำนึงถึง จะเปิดหน้าแลกตั้งแต่เกมแรกคงไม่ใช่ ยิ่งเป็นเกมแรกในรอบ 100 กว่าวันแบบนี้

พุธหน้า หากลิเวอร์พูลมี โรเบิร์ตสัน ฟาน ไดค์ โกเมซ และอาร์โนลด์ เกมรับก็ไม่มีอะไรน่ากังวล เช่นเดียวกับ ไวนัลดุม ฟาบินโญ่ และเฮนเดอร์สัน เช่นเดียวกับ 3 ประสานแดนหน้า มาเน่ ฟีร์มีโน่และซาลาห์ น่าจะเพิ่มความเร็วให้เกมและสร้างจังหวะอันตรายได้มากขึ้น

การลุ้นแชมป์ของลิเวอร์พูล สถานการณ์เป็นอย่างไร อัตราต่อรองอยู่ที่ 1 / 1000 คือลงทุน 1,000 ได้คืน 1 ส่วนแมนฯ ซิตี้คือ 50/1 ลงทุน 1 ได้ 50 หลังจากเสมอเอฟเวอร์ตัน ลิเวอร์พูลต้องการอีก 5 คะแนนก็เพียงพอ ซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหา 5 คะแนนจาก 8 นัดที่เหลือ และแมนฯ ซิตี้ห้ามพลาด คืนวันจันทร์ หากแมนฯ ซิตี้แพ้เบิร์นลี่ย์ ลิเวอร์พูลชนะคริสตัล พาเลซในวันพุธ ลิเวอร์พูลก็เป็นแชมป์ทันที

ผลงานของลิเวอร์พูลแต่ละคนเป็นอย่างไร ผมว่าได้มาตรฐาน สำหรับอลิซง ไม่มีงานให้ทำมากนัก แต่ถึงเวลาต้องเซฟ เขาไม่พลาด เจมส์ มิลเนอร์ยังไม่ทันต้องทำอะไรมากเจ็บก่อน ฟาน ไดค์และมาติปเล่นกันได้เหนียวแน่น เหมือนครึ่งแรกที่ริชาร์ลิสันหลุด มาติปวิ่งบังทางให้นักเตะบราซิลยิงออก อาร์โนลด์ ไม่มีอะไรเสีย แต่ไม่มีอะไรบวกมาก  หากเทียบฟอร์มก่อนลีกหยุดพักเพราะโคโรน่าไวรัส ฟาบินโญ่คุมเกมได้ มีพลาดบ้าง เฮนโด้พยายามเต็มที่ แต่อาจเร่งไม่ขึ้น เกต้ากับมินามิโนะ ยังไม่ใช่ความหวังของทีม หากเล่นได้แค่นี้ อ๊อกซ์ ใช่ว่าจะดีกว่ามินามิโนะในเกมนี้

มาเน่ดูคึกคักมากกว่าเพื่อน หรือตั้งแต่วินาทีแรก ที่ลืมว่าต้องคุกเข่าก่อน ฟีร์มีโน่มีโอกาสหนึ่งครั้ง และเป็นอีกเกมที่เขายิงเอฟเวอร์ตันไม่ได้

แต่เราก็ไม่อาจวิจารณ์อะไรได้มาก เพราะเอฟเวอร์ตัน พอใจกับการตั้งรับ สวนมาแค่นี้ ต่อให้ลอฟเร็นไม่พร้อม ลิเวอร์พูลก็จัดการได้

บางที หากมีคนดูในสนามตามปกติ เสียงเชียร์ อาจกดดันให้เอฟเวอร์ตันต้องพยายามบุกเพื่อเอาใจแฟนบอลบ้างก็ได้ ไม่มีคนดูในสนาม ไม่ต้องเอาใจใคร เล่นไม่ดี คนดูด่าอยู่ที่บ้าน ไม่เหมือนโดนโห่ในสนาม ผิดกับวันที่แพ้ลิเวอร์พูล เมื่อธันวาคม เล่นเอาเอเวอร์โตเนี่ยนทนไม่ได้ ต้องไปรุมประท้วงที่ฟินช์ ฟาร์ม สนามซ้อมของทีม

.

.

บทความโดย กิตติกร อุดมผล

Facebook fanpage: Captain No.12

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความก่อนหน้า :: บทความลิเวอร์พูล