เสมอถือว่าแพ้

เวสต์ บรอมเปิดเกมด้วยการตั้งรับ 6-4-0 และรักษารูปเกมแบบนั้นไว้ แม้โดนลิเวอร์พูลขึ้นนำ น.12 โดยซาดิโอ มาเน่

ไม่น่าแปลกใจหากเวสต์ บรอมต้องการตั้งรับ ทีมเยือนอยู่ในโซนตกชั้น ลิเวอร์พูลคือจ่าฝูง ที่น่าตกใจคือการเล่นของนักเตะลิเวอร์พูลมากกว่า ทำไมถึงขาดซึ่งจินตนาการและความดุดันเยี่ยงนี้

คล้ายกับเกมฟูแล่มซึ่งเยอร์เก้น คลอปป์ตะโกนใส่นักเตะให้ตื่นจากหลับใหล ทุกเกมหากเล่นแบบไม่ยอมตื่น ผลลัพท์ย่อมเป็นเช่นนี้ จริงอย่างแซม อัลลาร์ไดซ์ว่าไว้ “เวสต์ บรอมสมควรได้มากกว่า 1 คะแนน”

คลอปป์จัดทีมแตกต่างจากนัดเจอพาเลซ เมื่อ 8 วัน พักนานที่สุดในฤดูกาล พักจนสนิมเกาะขาและนาบี เคต้าเจ็บอีก

หากทีมชุดนี้เอาชนะเวสต์ บรอมไม่ได้ ก็ไม่มีลิเวอร์พูลชุดไหนจะทำได้ ที่จริงไม่ต้องการอะไรมากกว่าแค่นี้ หากไม่ปรามาสคู่ต่อสู้ว่า นี่คือเวสต์ บรอมทีมหนีตกชั้น คลอปป์ไม่ได้ปรามาส แต่นักเตะนั่นแหละที่แสดงอาการเช่นนั้น โดยเฉพาะเคอร์ตีส โจนส์ ซึ่งคลอปป์ตัดสินใจเปลี่ยนช้าเกินไป

จบครึ่งแรกเปลี่ยนอ๊อกซ์ลงได้แล้ว เพราะลิเวอร์พูลไม่สามารถเจาะยางรถบัสได้ ที่ขาดคือการยิงไกล อันนี้ไม่ได้ว่าและคิดว่าผมเก่งกว่าคลอปป์ แต่เราเห็นกันอยู่ว่า ลิเวอร์พูลขาดอะไร และโจนส์เล่นอย่างไรในเกมนี้

จนกระทั่งเขาตัดสินใจเลี้ยงจากข้างสนาม ย้อนหลัง แล้วคืนบอลให้รีหส์ วิลเลี่ยมส์ เมื่อจวนตัว นำไปสู่การเสียลูกเตะมุม

แต่นั่นไม่ใช่จุดเดียวที่ทำให้ลิเวอร์พูลทำ 2 แต้มหลุดมือ หรือเกือบไม่ได้แต้ม เพราะการป้องกันลูกโด่งของลิเวอร์พูล เมื่อไม่มีมาติป มันไม่ต่างอะไรกับโยนระเบิดใส่กองโจ๊ก

พักครึ่ง เกล็นน์ ฮ็อดเดิ้ลวิเคราะห์ว่า “ตาม0-1 แซมพอใจอยู่แล้ว เพราะถือว่าเวสต์ บรอมอยู่ในเกม รอ 10 นาทีสุดท้าย ลุยนิดหน่อยเพื่อปั่นป่วนลิเวอร์พูลและอาจแบ่งแต้มได้” ขณะที่สตีฟ แม็คมานามานบอกว่า “ตาม 0-1 ไม่บุกจะมีประโยชน์อะไร ลิเวอร์พูลไม่ต้องทำอะไรมาก เคาะบอลไปมา ปิดเกม อย่าบาดเจ็บพอ”

บิ๊กแซมเผยหลังเกมว่าสั่งลูกทีมระหว่างพักครึ่ง เดี๋ยวเราบุกบ้างนะ ไม่รอแบบที่ฮ็อดเดิ้ลบอก และนั่นทำให้ลิเวอร์พูลป่วน ขณะที่ลิเวอร์พูลยังไม่สำเหนียกว่าอะไรจะเกิดขึ้น สำหรับเกมแบบนี้

ความมุ่งมั่นจะเอาชนะ บวกความไม่แน่ใจเกมรับ คือนำลูกเดียวอุดไม่อยู่ คือกรอบความคิดในการเล่นของลิเวอร์พูล พวกเขาลืมคิดวิธีการเล่นแบบตีหัวเข้าบ้าน ครองบอล ไม่เสี่ยง ล่อให้เวสต์ บรอมดันสูง หาจังหวะสวนกลับ

ฝ่ายตรงข้ามรับต่ำ ไม่ช่วยให้มาเน่หรือซาลาห์แผลงฤทธิ์ได้ แถมมีจังหวะจะได้ประตู แซม จอห์นสตันยังสะกิดบอลโหม่งโดยฟีร์มีโน่ออกนอกกรอบได้อีก

ทั้งเกมสถิติในเกมรุก ลิเวอร์พูลยิง 17 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้ง ครึ่งละครั้ง เวสต์ บรอมยิง 5 ครั้งเกิดขึ้นเฉพาะครึ่งหลัง เข้ากรอบ 3 ครั้ง มากกว่าลิเวอร์พูลทำได้ตลอดทั้งเกม

ก่อนแข่งไม่มีใครคิดหรอกว่า เวสต์ บรอมจะได้แต้ม มีแต่จะโดนยำ เดอะ ค็อปคึกคักเพราะหมูมาให้เชือดถึงบ้าน

กลับกลายเป็นหมูเขี้ยวตันของบิ๊กแซม ซึ่งไม่แพ้ที่แอนฟิลด์ 4 ครั้งแล้ว (เสมอกับซันเดอร์ 2-2 2016 ชนะกับพาเลซ 2-1 2017 เสมอกับเอฟเวอร์ตัน 1-1 2017) เขาได้แต้มจากแอนฟิลด์มากกว่า บิ๊ก 6 ที่มาเยือนแอนฟิลด์ นับตั้งแต่ 2017 เสียด้วยซ้ำ (Big 6 ได้ 4 คะแนน)

ประตูตีเสมอ ทำให้เซมี่ อาจายี่ เป็นกองหลังที่ทำประตูมากเป็นลำดับ 3(8 ประตู) ต่อจากเวอร์จิล ฟาน ไดค์และแอร่อน ปิแอร์ (ยิงได้คนละ 9 ประตู) นับจากฤดูกาล 18/19 เป็นต้นมา

เล่นไปเล่นมาผมดูสีหน้าคลอปป์แบบยิ้มแหย๋ตั้งแต่กลางครึ่งหลัง ลางก็ออกว่า ไม่รู้จะอะไรได้ จะโวยวายเดี๋ยวจะโดนเควิน (อัน) เฟรนด์แจกใบแดงเสียอีก

บิ๊กแซมเก็บเพลย์ เมคเกอร์คนสำคัญ มาเธอุส คอสต้า เปเรร่า แสดงเจตนาชัดเจนว่ามาแอนฟิลด์เพื่อเล่นอย่างไร หากมีโอกาสค่อยลองเชิงลิเวอร์พูล นาที 73 เขาเปลี่ยนคัลลั่ม โรบินสัน หนึ่งในผู้เล่นตัวรุกออก นั่นหมายความว่า ไม่เปิดช่องเหมือนเดิม แต่ให้เปเรร่าพยายามเล่นฟุตบอลบ้าง ก่อนเขาแอสซิสต์ให้อาจายี่โหม่ง

การรับ 10 คนในครึ่งแรก ทำให้ลิเวอร์พูลเล่นสบายมาก ทั้งฟาบินโญ่และมาติปแทบจะยืนหน้าเขตโทษเวสต์ บรอม ซึ่งลิเวอร์พูลได้แต่โทษตัวเองว่า มีโอกาสแล้วทำไม่ได้ เทรนต์ AA ครอสบอลดี 5 ครั้ง เป็นการที่มีโอกาสได้ประตู 4ครั้ง (Key Pass) โรเบิร์ตสัน เปิดบอลดี 4 ครั้ง เป็น Key pass 1 ครั้ง

นอกนั้นการครอสบอลของลิเวอร์พูลคือการโยนทิ้ง

คลอปป์บอกเสมอก็เหมือนแพ้ ซึ่งจริง “ปัญหาคือ ผมคิดว่า เวสต์ บรอมสมควรได้แต้ม นั่นคือความผิดของเรา พวกเขาสมควรได้แต้มในครึ่งหลัง แต่ผมไม่ได้เพิ่งเริ่มงานวันแรก เราควรชนะ แต่ไม่ชนะ เราทุกคนผิดหวัง นักเตะไม่พอใจผลงานตัวเอง มันไม่สมบูรณ์ แต่ทุกอย่างจบแล้ว เราต้องเล่นเกมต่อไปใน 3 วันข้างหน้า”

“สุดท้าย เราเสมอในเกมพรีเมียร์ ลีก มันเกิดขึ้นได้ และเกิดขึ้นกับเวสต์ บรอมซึ่งมีผจก. คนใหม่ เล่นครึ่งแรกแบบ 6-4 หรืออะไรก็ตาม ซึ่งไม่ใช่ปัญหา พวกเขาต้องต่อสู้เพื่อการอยู่รอด พวกเขาต้องเล่นแบบมีวินัย เราก็เหมือนกัน ทั้งเกมรุก ความกระฉับกระเฉง สร้างสรรค์เกม”

ใช่ว่าคลอปป์มองความผิดพลาดของลูกทีมไม่เห็น โดยเฉพาะการเล่นยาก เก็บบอลไว้กับตัวนานเกินไป

“5 นาทีแรกของครึ่งหลัง พวกเขามีโอกาสมากกว่า 45 นาทีแรก แต่เราสามารถป้องกันปัญหาได้ หากผ่านบอลง่ายๆ ออกบอลให้เพื่อนร่วมทีมโดยเร็ว หาตำแหน่งเพื่อจ่ายบอลทะลุช่อง วิ่ง อะไรแบบนี้”

เท่าที่นักเตะแสดงออก เราไม่เห็นความขยันในการวิ่ง หรือเพรสแบบเคย แต่พยายามเล่นแบบเหนือชั้น หรือคิดว่าจะเลี้ยงผ่านผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามทีละ 3-4 คนเพื่อยิงประตู

เพราะฉะนั้นอย่าโทษ VAR หรือผู้ตัดสินเลยครับ ความผิดหลักๆ เกิดขึ้นเพราะทีม ยกเว้นอลิซง เบ๊คเกอร์ ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมบีบีซี ให้คะแนนความสามารถนักเตะลิเวอร์พูลเกมนี้สูงจัง

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล.  

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี