เคอร์เล็ตต์ คัพ ความผูกพันของแฟนกับ LFC

เคอร์เล็ตต์ คัพ ความผูกพันของแฟนกับ LFC

 

แต่คุณอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน  ฤดูกาล 1963/64 ลิเวอร์พูลของบิลล์ แชงค์ลี่ย์ ไม่ได้ชูถ้วยแชมป์ลีกต่อหน้าแฟนบอลที่แอนฟิลด์ แต่สองพี่น้องแห่งเมืองลิเวอร์พูลช่วยกันสร้างบรรยากาศแห่งความประทับใจ

 

“เสียงคำรามของเดอะ ค็อป เหมือนเรามีผู้เล่นคนที่ 12 ในสนาม” ถ้อยคำของบิลล์ แชงค์ลี่ย์ ดังกังวาลจากวันนั้น จนถึงปัจจุบัน จากลูกคนที่ 9 จากบรรดาพี่น้อง 10 คน จากครอบครัวชนชั้นแรงงาน หมู่บ้านเกล็นบัค ในสก๊อตแลนด์ วูลลี่ (ชื่อที่คนในบ้านเรียกบิลล์) ทำงานในเหมืองถ่านหินแถวบ้านก่อนเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับคาร์ไลส์ล ยูไนเต็ดเมื่อปี 1932

 

ลิเวอร์พูเลี่ยนส์ (ผมฟังเสียงแม่สตีเว่น เจอร์ราร์ด ออกแบบนี้ในสารคดี Make Us Dream แต่ท่านจะอ่านอย่างไรก็ตามถนัดครับ) มีรากเง้าเหมือนแชงค์ลี่ย์ ใช้แรงงาน ไม่ว่าจะท่าเรือหรือโรงงาน สำนึกรักษ์ถิ่นฐาน และอารมณ์ดีพอจะฉุดตัวเองยามเผชิญความยากลำบาก ที่สำคัญ พวกเขารักฟุตบอล แชงค์ผูกพันกับแฟนบอลลิเวอร์พูล สายสัมพันธ์ที่ทำให้เขาอยู่กับทีมนาน 15 ปี และสร้างแอนฟิลด์ให้เป็นตำนานยิ่งใหญ่มาจนปัจจุบัน และผจก รุ่นต่อๆ อาศัยเป็นแนวทางในการทำงาน

 

ความผูกพันระหว่าง แฟนบอลและผจก นำไปสู่การชูถ้วยที่แฟนบอลรู้จักน้อยที่สุด แต่เป็นถ้วยที่แฟนบอลประทับใจที่สุด ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่สองครั้ง ถ้วยดังกล่าวคือ เดอะ เคอร์เล็ตต์ คัพ

 

“ในความเห็นผม ถ้วยนี้สำคัญและมีค่ากับลิเวอร์พูล เอฟซี มากกว่าถ้วยทุกใบของเรา” สตีเฟ่น ดัน ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล และเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ของสโมสร “ทั้งถ้วยแชมป์ลีก แชมป์ยุโรป หรือถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีกตัวจริง จากอิสตันบูล ปี 2005 ซึ่งไม่ใช่ถ้วยจำลอง แต่เป็นถ้วยจริง แต่สำหรับผม เคอร์เล็ตต์ คัพสำคัญที่สุด”

 

ฤดูกาล 1963/64 ลิเวอร์พูลของแชงค์ลี่ย์ ซึ่งอยู่ในดิวิชั่น 2 เมื่อเขารับตำแหน่งเมื่อ 5 ฤดูกาลก่อน กำลังจะได้แชมป์ดิวิชั่น 1 ครั้งแรกในรอบ 17 ปี หากชนะเกมสุดท้ายในบ้านกับอาร์เซน่อล แต้มจะขาด โดยแมนฯ ยูฯและเอฟเวอร์ตันไม่มีสิทธิ์ไล่ทัน แน่นอน บรรยากาศที่แอนฟิลด์จะต้องชื่นมื่น แต่มีปัญหาที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องขัดใจ

 

ฟุตบอลลีกไม่อนุญาตให้นำถ้วยชนะเลิศมาที่สนาม คุณต้องได้แชมป์ก่อน แล้วนัดต่อไปถึงฉลองได้ ผิดกับปัจจุบัน หากชนะอาร์เซน่อล ลิเวอร์พูลจะได้ชูถ้วยใน 4 วันต่อมาที่เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้

 

สองพี่น้องชาวลิเวอร์พูล ซึ่งตอนนั้นอายุ 20 ต้นๆ รู้สึกว่า มันไม่ถูกต้อง พวกเขาต้องทำอะไรบางอย่าง “พ่อผม เทอร์รี่ และลุงเท็ดดี้ รู้ว่าถ้าเราชนะอาร์เซน่อล ลิเวอร์พูลจะได้แชมป์ที่แอนฟิลด์ แต่เราไม่มีถ้วยสำหรับการฉลอง” แฟรนนี่ เคอร์เล็ตต์ ลูกชายคนสุดท้ายของเทอร์รี่ เคอร์เล็ตต์ เล่าอย่างอารมณ์ดีเมื่อถ่ายทอดเรื่องราวสุดวิเศษของครอบครัว

 

“แต่เราไม่มีถ้วยให้ฉลอง ดังนั้น พวกเขาคิดทำถ้วยขึ้นมาเอง เอาแจกันของคุณป้า มาทาสีแดงกับขาว แล้วตัดภาพนักเตะจากหนังสือพิมพ์แปะลงไป” ดูเหมือนว่าแจกันเก่าจะเข้ากับภาพได้ดี เว้นเสียแต่ว่า “แจกันไม่มีฐาน ถ้วยชนะเลิศทุกใบมีฐาน พวกเขาเลยเอาไม้บันไดมาทำฐานซึ่งเข้ากันดีมาก”

 

ทำถ้วยชนะเลิศเองเป็นอีกเรื่อง แต่ทำแล้วมีคนนำไปใช้ มันใหญ่โตมาก พี่น้องเคอร์เล็ตต์ เขียนจดหมายไปสโมสรลิเวอร์พูล บอกว่ายินดีให้สโมสรใช้ถ้วยนี้ฉลองแชมป์หากต้องการ ซึ่งทั้งสองต้องประหลาดใจเมื่อได้รับจดหมายตอบกลับจากบิลล์ แชงค์ลี่ย์เอง

 

“แชงค์ลี่ย์ เชิญพวกเขาไปดูเกมอาร์เซน่อล และให้เอาถ้วยไปด้วย” แฟรนนี่ เป็นเพื่อนกับร็อบบี้ ฟาวเลอร์สมัยเด็กๆ เล่าต่ออีก “ลิเวอร์พูลชนะ 5-0 และเจ้าหน้าที่นำถ้วยดังกล่าวส่งให้นักเตะทันทีเมื่อผู้ตัดสินเป่านกหวีดจบเกม การฉลองอย่างสุดเหวี่ยงเริ่มต้นในสนาม พร้อมโชว์ให้แฟนบอลเห็นราวกับนั่นคือถ้วยชนะเลิศ จากนั้น ทีมเชิญ เทอร์รี่และเท็ดดี้เข้าไปห้องแต่งตัวด้วย ราวกับทั้งสองคนวีระบุรุษของทีม แน่นอน ฝันของพวกเขาเป็นจริง เพราะ พ่อกับลุงบ้าฟุตบอลมาก”

 

ภาพข่าวจากบ่ายนั้น รอน ยีตส์ นักเตะที่ตัวใหญ่มาก ถือถ้วยดังกล่าวต่อหน้าแฟนบอล โดยแชงค์ลี่ย์บอกให้ช่างภาพหามุมดีที่สุด เพื่อบอกทุกคนว่า ยีตส์และถ้วยนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ถ้วยในมือยีตส์คือ แจกันเก่าๆ ทำโดยแฟนบอลชาวลิเวอร์พูลเท่านั้นเอง

 

“ไม่มีใครรู้สึกรังเกียจที่ต้องถือถ้วยดังกล่าว “สตีเฟ่น ดัน เล่า “ไม่มีใครอับอาย ผจก ทีมหลายคนอาจสั่งนักเตะว่า อย่ารับของจากแฟนบอล แต่แชงค์วางแผนมาตั้งแต่ต้น เขาเข้าใจดีว่า สำหรับชาวลิเวอร์พูล ฟุตบอลและความสำเร็จของทีมมีความสำคัญมากแค่ไหน แชงค์ลี่ย์เข้าใจจิตวิญญาณชาวเมืองดีกว่าทุกคน เขาตอบจดหมายทุกฉบับที่ส่งถึงเขา ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดส่วนตัว เขาพิมพ์ไม่เก่งหรอก ช้ามากด้วย และเขียนด้วยคำแบบไม่เป็นทางการ ให้ความรู้สึกกันเอง บางทีแนบรูปถ่าย หรือถ้อยคำที่บอกว่า เขาอ่านจดหมายแต่ละฉบับแบบจริงจัง เขารู้สึกว่าเป็นหนี้แฟนบอลที่อุตส่าห์เสียเวลาเขียนจดหมายถึง”

 

เดอะ เคอร์เล็ตต์ คัพ สร้างความสุขให้แฟนบอลมาก และลิเวอร์พูลนำมาฉลองอีกในฤดูกาล 1965/66 หลังจากได้แชมป์ขณะเหลืออีก 1 เกม พี่น้องเคอร์เล็ตต์ยินดีให้สโมสรนำถ้วยไปฉลองที่แอนฟิลด์ หลังชนะเชลซี 2-1 นั่นคือครั้งสุดท้ายที่มีคนเห็นเดอะ เคอร์เล็ตต์ ในที่สาธารณะ ในรอบ 40 ปี

 

“เหมือนมันสลายไปจากโลก” สตีเฟ่น ดัน รับงานดูแลพิพิทธภัณฑ์สโมสรเมื่อปี 1997 และพยายามตามหาถ้วยดังกล่าว “เมื่อรับงาน ผมพยายามรวมข้อมูลเท่าที่จะหาได้ หาหลายอย่างเข้าพิพิทธภัณฑ์ ถ้วยนี้อยู่ในบัญชีด้วย แต่ไม่มีใครรู้ว่า มันหายไปไหนหลังการฉลองแชมป์ ยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครบันทึกว่า ใครคือเจ้าของตัวจริง”

 

ถ้วยอันตรทานจากประวัติศาสตร์สโมสร สูญหาย แตกหัก หรือถูกวางทิ้งไว้ที่ไหนสักแห่ง “มันอยู่มองข้ามมา 30 ปี ตอนนั้นไม่มีอินเตอร์เน็ต การค้นหาอะไรยากเต็มที ผมเกือบถอดใจยอมแพ้แล้วเหมือนกัน”

 

หลังการฉลองเมื่อปี 1966 เทอร์รี่ เคอร์เล็ตต์นำถ้วยดังกล่าวกลับบ้าน ก่อนวางในห้องเก็บอุปกรณ์ เขาไม่อยากให้ถ้วยแตกหรือสูญหาย จึงห่อไว้อย่างดี อาจนำมาเชยชมบ้างในโอกาสพิเศษ  “วันชุมนุมของครอบครัว พ่อจะบอกว่า เอาถ้วยออกมาถ่ายรูปกัน” แฟรนนี่ซึ่งเกิดปี 1975 เก้าปีหลังการฉลองหลังเกมกับเชลซี ระลึกความหลัง ซึ่งตอนนั้น แฟนบอลส่วนใหญ่คงลืมถ้วยใบนี้ และไม่เคยรู้ว่า นี่คือสิ่งที่สโมสรตามหา แจกันเก่าๆของคุณย่า

 

เทอร์รี่ เคอร์เล็ตต์ เสียชิวิตด้วยอาการหัวใจวายในปี 1995 อายุ 56 ปี พี่ชายของแฟรนนี่ คริสเตอร์เฟอร์ฆ่าตัวตายไปก่อนนั้นสองปี แฟรนนี่สักรูปพ่อและพี่ไว้ที่แขนทั้งสองข้าง

 

“ผมสนิทกับสองคนนี้มาก ผมกับพี่นั่งฟังเรื่องเล่าต่างๆของพ่อที่ได้จากการไปผับกับเพื่อนๆ เรื่องตลกมากมาย พ่อรักลิเวอร์พูลมาก และเป็นคนน่ารักที่สุด”

 

หน้าร้อนปี 2006 แฟรนนี่ ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างกับถ้วยของพ่อ

 

“ผมนั่งกับแม่ ซึ่งปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ ปรึกษากั แล้วตัดสินใจว่า เราไม่สามารถเก็บถ้วยนี้ไว้ในห้องเก็บของอีกต่อไป คนที่รักมันควรมีโอกาสเห็น แม่เห็นด้วย ผมเลยโทรไปพิพิทธภัณฑ์ของสโมสรในวันรุ่งขึ้น”

 

เป็นการคุยโทรศัพท์ที่สตีเฟ่น ดันไม่มีวันลืม

 

“เพื่อนร่วมงานเรียกผมว่า มีคนโทรมาหา บอกมีของที่ผมอาจสนใจ จากนั้นเธอโอนสายให้ผม ทันทีที่รู้ว่าเป็นอะไร ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นความจริงไม่อยากเชื่อเลย อึ้งจนพูดอะไรไม่ถูก” ดัน พูดถึงจังหวะรับโทรศัพท์

 

“ใช่เงียบไปเลย ผมต้องถามว่า สายไม่หลุดใช่หรือไม่ และสตีเฟ่นบอกว่า ยังอยู่แฟรนนี่ “ แฟรนนี่จดจำได้เช่นกัน

 

ทั้งสองนัดแนะกันอย่างรวดเร็ว ตอนบ่าย สตีเฟ่น ดันเจอกับแฟรนนี่ เคอร์เล็ตต์ พร้อมถ้วยใบประวัติศาสตร์ สตาฟของลิเวอร์พูลเข้ามารุมพิจารณาว่า นี่คือถ้วยของจริงหรือไม่

 

“พอได้มา ถ้วยตั้งโชว์ในพิพิทธภัณฑ์มาตลอด ตราบใดที่ผมยังอยู่ และแฟรนนี่ เคอร์เล็ตต์ยังพอใจ เราจะไม่เอาถ้วยนี้ออกจากการโชว์ของสโมสรแน่นอน สีแดงขาวอาจจางไปบ้าง นักเตะหลายคนเซ็นชื่อบนถ้วย หมึกจางไปบ้าง แต่ยังเห็นอยู่ว่าเป็นใคร และผมดีใจมากที่เราได้ถ้วยนี้มาแสดงที่แอนฟิลด์” สตีเฟ่น ดันพูดอย่างมีความสุข

 

มาถึงปี 2020 ลิเวอร์พูลใกล้จะได้แชมป์ แม้ประเพณีของพรีเมียร์ ลีก จะเปลี่ยนไป คุณไม่ต้องได้แชมป์ก่อน ถ้วยถึงมาที่สโมสร แต่เพียงว่า สถานการณ์แพร่ระบาดใหญ่ ทำให้ทีมและแฟนบอลพลาดโอกาสสำคัญ การฉลองถ้วยแชมป์พรีเมียร์ ลีกที่แอนฟิลด์ ต่อหน้าเดอะ ค็อป แต่การเป็นกันเองกับแฟนบอลของแชงค์ และเยอร์เก้น คลอปป์ ไม่แตกต่างกัน เมื่อเขาตอบจดหมายแฟนบอลแมนฯ ยูฯ  ดาร์รักห์ เคอร์ลี่ย์ ที่ขอให้ลิเวอร์พูลยอมแพ้บ้าง

 

หากเทอร์รี่ เคอร์เล็ตต์ ยังมีชีวิตอยู่ เขาคงหลงรักคลอปป์เหมือนแฟนบอลลิเวอร์พูลทั่วไป “แน่นอน เขาต้องรักคลอปป์” แฟรนนี่ พูดถึงพ่อตัวเอง “ใครจะไม่รักเยอร์เก้นได้ เขามีความสามารถและคุณค่าเฉกเช่นแชงค์ลี่ย์ เขารักแฟนบอล และรู้ว่าแฟนบอลมีความหมายกับสโมสรมากแค่ไหน คลอปป์เหมือนกับมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งแอนฟิลด์คนนั้น ในด้านบุคลิก พ่อผมคงภูมิใจในความสำเร็จของทีมฤดูกาลนี้”

 

ลิเวอร์พูลได้แชมป์และถ้วยพรีเมียร์ ลีก หากชนะอีก 2 นัด เมื่อโอกาสเป็นใจ ทอม เวอร์เนอร์ ประธานสโมสรบอกแล้วว่า จะจัดขบวนแห่ให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

 

ช่างเหลือเชื่อ สำหรับสโมสรที่เทิดทูนแจกันกระเบื้อง ไม้ส่วนหนึ่งของบันได และรูปภาพจากหนังสือพิมพ์ ให้กลายเป็นถ้วยระดับตำนาน ต่อให้มีปัญหามากแค่ไหน แฟนบอลไม่เคยทอดทิ้งสโมสรนี้ให้เดินเดียวดาย

ปล

สาระสำคัญของการประชุมเมื่อพฤหัสที่ 28 พค

1 ถ้าการแข่งขันไม่อาจดำเนินได้ ก่อน 17 มิย ถือว่าอันดับจบตามปัจจุบัน ลิเวอร์พูลแชมป์ บอร์นมัธ แอสตัน วิลล่าและนอริช ตกชั้น

2 เกมสำคัญ เช่น เกมของลิเวอร์พูลทุกนัด ดาร์บี้ของลอนดอน เล่นสนามกลาง

3 เกมเล่นศุกร์ 20.00 น  เสาร์ 12.30 น 15.00 น 17.30 น และ 20.00 น อาทิตย์ 12.00 น 14.00 น 16.30 น และ 19.00 น จันทร์ 20.00 น อังคาร พุธ พฤหัส 18.00 น และ 20.00 น เท่ากับจบภายใน 6 สัปดาห์

.

.

บทความโดย กิตติกร อุดมผล

Facebook fanpage: Captain No.12

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความก่อนหน้า :: บทความลิเวอร์พูล