เยอร์เก้น คลอปป์ ไม่เคยโดนใครนำ 0-3 เมื่อหมดครึ่งแรกตั้งแต่ปี 2007 ขณะนั้นเขาเป็น ผจก. ไมนซ์
แมนฯ ซิตี้เคยชนะลิเวอรพูล 5-0 เมื่อปี 2017การแพ้หนักสุดสำหรับคลอปป์นับตั้งแต่คุมลิเวอร์พูล แต่สถานการณ์ต่างกันเพราะคราวนี้ แมนฯ ซิตี้ต้องยืนตั้งแถวปรบมือให้แชมเปี้ยน 2019/20 ลิเวอร์พูล นั่นคือเครื่องปลอบใจที่ดีหลังเกมอันยับเยิน
แต่ไม่เจ็บปวดเท่า หลายๆคน อดีตนักเตะ สื่อมวลชน โลกโซเชียล ตั้งคำถามความเป็นมืออาชีพของลิเวอร์พูลต่อเกมนี้ เช่น การสัมภาษณ์หลังเกมของเจฟฟ์ ชรีฟส์จากสกาย สปอร์ตส์ ดังที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ ถอดความมาหมด คำต่อคำ
GS: คุณพูดก่อนเกม “เราเตรียมพร้อมอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราไม่มีทางรู้ว่าเราทำได้ดีแค่ไหนจนกว่าเกมเริ่มต้น” คุณคิดว่าอย่างไรกับเรื่องนี้และรูปเกมที่เห็น
JK: ผมคิดว่า ผมเข้าใจคำถามคุณทำนองว่า คุณไม่แน่ใจว่าเกมนี้มีความสำคัญกับเราแค่ไหน หรือเท่าไร คุณจะถามแบบนี้ใช่หรือไม่
GS: ก่อนเกม…
JK: ผมเข้าใจ ผมเข้าใจ
GS: เราต่างก็เป็นมนุษญ์เหมือนกัน…
JK: ถูกต้องที่สุด ผมเข้าใจ เช่นเดียวกับคำถามเกี่ยวกับทัศนคติ “เกมนี้สำคัยกับเราไหม เป็นไงบ้าง” ที่ผมเห็น เรื่องทัศนคติยอดเยี่ยมมาก ผมเห็นลูกทีมพยายามสู้ด้วยทุกอย่างที่มี เราไม่ได้ทำตัวแบบว่า คนเพิ่งเป็นแชมป์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แล้วเกมนี้ไม่สำคัญ ทุกอย่างดี แต่เกมเราไม่ต่อเนื่อง นั่นคือสิ่งที่แน่นอน บางสถานการณ์ 50/50 แบบนั้น พวกเขาคิดเร็วกว่าเรา
พวกเขาใช้จุดนั้นให้เป็นประโยชน์ ทำให้สนามกว้างขึ้นมาทันที ประตูแรก เราทิ้งโจ โกมเซ โดยลำพังสัก 5 นาที ที่เชาสู้กับราฮีม สเตอร์ลิง ควรมีนักเตะคนที่ 2 อยู่ตรงนั้น
ผมคิดว่า ประตูที่สอง เราเสียบอล ประตูที่สามก็ไม่ควรเสีย แต่มันเกิดขึ้นได้กับทีมแบบซิตี้ คุณเล่นแบบนั้น ก็เจอปัญหาใหญ่
พวกเขาใช้โอกาสที่เกิดขึ้น ไม่ทุกครั้ง แต่ก็เยอะ แต่เราทำไม่ได้ ดังนั้น ซิตี้สมควรเป็นผู้ชนะ 100 % สำหรับวันนี้ แต่น่าจะเป็น 5-3 ซึ่งมันก็ไม่ดีขึ้นหรอก แต่ความจริงคือ 4-0 เราต้องยอมรับ ซึ่งเราก็รับนะ ก็แค่นั้น
GS: ตอน 0-0 คุณคิดว่า ทีมคุณมีโอกาสสู้ มีโอกาสได้ประตูกับซิตี้บ้างไหม
JK: คุณถามผมงี้ คุณถามผมว่า เรามีโอกาสู้กับซิตี้ไหม
GS: แล้วคุณคิดว่า ทีมคุณมีโอกาสดีๆบ้างไหมล่ะ
JK: เรามีโอกาสหลายครั้ง แต่คุณดูตลอดเกมแบบใจเป็นกลางไหม ทำไมคุณถามผมแบบนี้ เรามีโอกาสยิงประตูไหม ผมว่าเป็นคำถามที่ไร้สาระ
เรามีโอกาสดี ดังนั้นถามผมซิ พวกเขาเป็นไง แน่ล่ะ เรามีโอกาส ซาดิโอได้โอกาสในกรอบเขตโทษ แต่เราใช้โอกาสเหล่านั้นไม่ได้ นั่นคือความจริง บางทีตอนนี้ เราอาจทำได้ไม่ดี ณ ตอนนั้น แต่ถือว่าเรามีโอกาสมากมาย ซึ่งเราน่ายิงได้ แต่เรายิงไม่ได้
จังหวะที่เอแดร์สันต้องเซฟ นั่นเป็นช่วงที่เราเล่นดี ประตูออกมา ตัดสินใจเสี่ยง ถือว่าเขาโชคดีที่ไม่เสียประตู อธิบายยากหากพูดเรื่องโอกาส เพราะทุกคนจะลืมทันที ถ้าเรายิงไม่ได้ ผมเองยังลืมแล้วเลย แต่นั่นมันคือสถานการณ์
เอาล่ะ ไม่มีปัญหา มันไม่ดี ไม่ใช่ผลการแข่งขันที่เราต้องการ ผมต้องการเห็นทัศนคติที่ดี ซี่งผมเห็นแล้ว จบไม่มีปัญหา แต่ผลการแข่งขันนี้เราต้องยอมรับ
นั่นคือเรื่องดีๆที่เรามีในเกมนี้ แต่เรามีไม่มากพอ ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้แหละหากยิงไม่ได้
GS: คุณอธิบายให้เห็นภาพได้ไหม จากเรื่องที่เราคุยกันก่อนเกม คุณได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น แต่คุณเพิ่งได้แชมป์ คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้
JK: ขอโทษ ผมไม่เข้าใจ
GS: ภาพรวม เกมนี้แสดงให้เห็นอะไรบ้างไหม
JK: ผมไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ(จากคำถามคุณ) ขอโทษ หมายความว่าอย่างไร คือเราต้อง…
GS: ภาพรวม คือคุณเพิ่งได้แชมป์ คุณพูดว่า แต่พวกเขาเร็วกว่าทีมคุณในบางจุด คุณพอใจกับลูกทีมคุณคืนนี้ไหม
JK: หากคุณต้องการพาดหัวเรื่องแบบนี้ก็ได้ เรามาเล่นที่นี่ โดยไม่มีสมาธิ เอาเลยทำแบบนั้น คุณถามผมเรื่องทัศนคติเป็นครั้งที่สอง ผมพอใจกับทีมผม ผมพูดไปแล้ว ผมคิดว่า ผมตอบชัดนะ แล้วคุณถามซ้ำอีก ผมว่า เราเห็นกันแล้วว่า ซิตี้เป็นทีมที่เหลือเชื่อ
มันไม่ดีหรือ สำหรับพรีเมียร์ ลีก ในทีมอื่นเป็นแชมป์บ้าง ขณะที่ซิตี้ยังอยู่แล้วเล่นฟุตบอลเยี่ยมๆแบบนั้น ผมก็ประหลาดใจเหมือนกัน
GS: ผมแค่อยากบอกว่า คุณจะยกย่อง ชื่นชมซิตี้ว่าเล่นดีไหมในเกมนี้เท่านั้น
JK: ผมอาจลืมชมเชยพวกเขา (น่าจะประชด) ผมพูดไปแล้ว ผมพูดแล้ว ผมยกย่องพวกเขาเต็มๆ
นอกจากนี้ ผมชื่นชมพวกเขาตลอดเวลา พวกเขาเก่งมาก ผมเห็นผลงานของซิตี้ในฤดูกาลนี้ ไม่มีเกมไหนที่เล่นไม่ดี บอกตรงๆ วันที่แพ้ ซิตี้ยังเล่นดีเลย แต่สุดท้าย ความจริงเป็นแบบนี้ (ลิเวอร์พูลเป็นแชมป์)
GS: ขอบคุณ เยอร์เก้น
JK: ด้วยความยินดี
คำถามเกี่ยวกับทัศนคติ การทำตัวของนักเตะลิเวอร์พูลไม่เพียงแต่เกิดขึ้นกับเยอร์เก้น คลอปป์ เป็ป กวาดิโอล่าก็โดนเช่นกัน จะว่าไปแล้ว การถามแบบนี้ ดูถูกความเป็นมืออาชีพของลิเวอร์พูล ซึ่งถ้าคุณรู้จักเยอร์เก้น คลอปป์ คุณจะไม่ตั้งคำถามเขาเกี่ยวกับความเป็นมืออาชีพและการทำงานอย่างเด็ดขาด
เป็บก็เช่นกัน “ พวกเขาคงดื่มเบียร์เยอะในสัปดาห์นี้ แต่พวกเขามาที่นี่ โดยไม่มีอัลกอฮอลในกระแสเลือดแน่นอน”
มันก็กลับไปที่มาตรฐานระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนฯ ซิตี้ 20 คะแนน ยังเป็นระยะห่างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ
ซิตี้เล่นอย่างจริงจัง เพราะอย่างน้อยพวกเขาต้องรักษาอันดับ 2 เช่นเดียวกับหลายคนมองว่า พวกเขาพกความเจ็บปวดที่พ่ายแพ้ลิเวอร์พูล เสียแชมป์ให้กับลิเวอร์พูล เป็ประเบิดอารมรณ์ใส่ขวดน้ำขณะเบนจาแม็ง เมนดี้เปิดบอลไม่ดี จนผู้ตัดสินใจต้องเตือน ตอนนั้น ซิตี้นำ 2-0 หรือการโค้ชลูกทีมแบบออกรสระหว่างเบรกดื่มน้ำกลางครึ่งแรก
นี่คือฤดูกาลที่ซิตี้เจ็บปวด โดยเฉพาะสำหรับราฮีม สเตอร์ลิง ถ้าพิจารณากรณีเขากับโจ โกเมซและไม่เคยยิงลิเวอร์พูลได้หลังจากย้ายมาแมนเชสเตอร์ “ฤดูกาลใหม่เริ่มต้นแล้ว” อดีตนักเตะลิเวอร์พูลพูดแบบสะใจ
ขณะที่รูปเกมซี่งเจฟ ชรีฟอยากรู้ อันที่จริงไม่ต้องถามมาก เพราะสถิติบอกชัดเจน เกมอยู่หน้าประตูซิตี้ 30.6 % แดนกลาง 45.4 % และหน้าประตูลิเวอร์พูล 24 % ครองบอลตลอดเกม ลิเวอร์พูล 53 % ซิตี้ 47 %
แมนฯ ซิตี้ชนะ 4 เกมติดต่อกันในบ้านสำหรับพรีเมียร์ ลีก ยิงได้ 14 ไม่เสียเลย ขณะลิเวอร์พูลยิงไม่ได้นอกบ้านติดต่อกัน 6 เกม ยาวนานที่สุดหลังจากยิงไม่ได้นอกบ้านติดต่อกัน 8 เกมเมื่อปี 1992
แต่ฟุตบอลลีกมันคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่ร้อยเมตรหรือเกมเดียว สุดท้ายเป็ปก็บอกว่า
“ผมชอบการเล่นของทีมผมทุกเกม ผมพยายามให้ทีมเราเล่นฟุตบอล เสี่ยง ได้เสีย ลิเวอร์พูลคือทีมดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเผชิญหน้าในชีวิตนี้ กลไกเกมที่พวกเขาใช้สุดยอดมาก ความเร็วของนักเตะ ความเร็วของเกม พวกเขากล้าเล่นในพื้นที่แคบๆ ทั้งในและนอกเขตโทษ”
สำหรับผมผิดหวังที่ลิเวอร์พูลแพ้เละ ทั้งที่เกมควรสูสีกว่านี้ หากโอกาสที่เกิดขึ้น ลิเวอร์พูลนำ 2-0 จากซาลาห์ ทุกคนจะพูดอีกอย่างไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับทัศนคติของทีม
อย่าลืมว่า สัปดาห์ก่อน สื่อรายงานในว่าระหว่างการฉลองแชมป์ แม้เยอร์เก้น คลอปป์อนุญาตให้เสิร์ฟอัลกอฮอลได้ สิ่งที่สื่อเห็นคือ ไม่มีนักเตะลิเวอร์พูลคนใดแตะต้องแม้แต่น้อย ขนาดแอนดี้ โรเบิร์ตสัน แอบแซวเล่นว่า ให้เจ้านายดื่มเบียร์อีก 2 ขวด เดี๋ยวพรุ่งนี้เขาให้เราหยุดแน่นอน ความจริงคือลิเวอร์พูลซ้อมตามกำหนดเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นอย่าถามเรื่องทัศนคติ แต่สิ่งที่ลิเวอร์พูลต้องจำคือ โลกทั้งโลกพร้อมเป็นศัตรูกับคุณ ไม่ว่า ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว
.
.
บทความโดย กิตติกร อุดมผล
Facebook fanpage: Captain No.12
อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้
บทความก่อนหน้า :: บทความลิเวอร์พูล