เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ นัดที่ 237

ลิเวอร์พูลเสียสถิติไม่แพ้ใครนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลที่วิลล่า พาร์ค เมื่อ 5 ตุลาคม

ลิเวอร์พูลเสียสถิติไม่แพ้ใครนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลที่วิลล่า พาร์ค เมื่อ 5 ตุลาคม

แถมไม่ใช่การพ่ายแพ้แบบธรรมดา เป็นการแพ้ยับเยินที่สุดในชีวิตผจก.ทีมของเยอร์เก้น คลอปป์

ลิเวอร์พูลเสียสถิติไม่แพ้ใครนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลที่วิลล่า พาร์ค เมื่อ 5 ตุลาคม

และแฟนบอลลิเวอร์พูลหลายคนไม่เกิดไม่ทันการแพ้หนักสุดแบบนี้เมื่อปี 1963 บางคนบอกว่า นั่นคือลางไม่ดีเพราะเอฟเวอร์ตันจะได้แชมป์ลีก

แพ้ 7-2 มีข้อดีเหมือนกัน “มีบางมุมที่ผมชอบมากกว่าแพ้ 3-2 เพราะเห็นชัดเจน 3-2 คืนนั้นเราอาจแพ้ค่ 3-2 ทุกคนกลับบ้าน เด็กๆไปเล่นทีมชาติ เราวิเคราะห์เกมแล้วจบกัน แต่คราวนี้เราต้องทำมากกว่านั้น” คลอปป์ให้สัมภาษณ์ Talk Sports เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา

 

“ผมเขียนสิ่งที่เห็นจากเกมไว้ เรื่องที่ท้าทายกว่าคือ นักเตะเล่นเกมสุดท้ายวันพุธ กลับมาแบบเหนื่อยสุดๆวันพฤหัส ซึ่งเราจะให้นักเตะฟื้นฟูร่างกาย วันศุกร์ซ้อม 1ครั้ง วันเสาร์ เล่นกับเอฟเวอร์ตันที่ผลงานดีสุดๆ นี่คือสถานการณ์ที่ต้องเจอ เราเปลี่ยนสิ่งนี้ไม่ได้ และไม่ต้องการเปลี่ยนด้วย”

 

นั่นหมายความว่า แพ้ 3-2 ต่างกับแพ้ 7-2 ตรงที่ทำให้ทุกคนเห็นปัญหาอย่างชัดเจน การแพ้แบบเฉียดฉิวอาจทำให้ลิเวอร์พูลหลงประเด็นคิดว่าเป็นเรื่องของโชคร้ายหรือแค่การสะดุด แต่โดนถล่ม 7 ประตูนี่ ถ้าไม่แก้ไขก็เตรียมตัวโดนเอฟแวอร์ตันถลุงคากูดิสัน พาร์คอย่างแน่นอน

 

คลอปป์คุมทีมเมื่อ 8 ตุลาคม หลังเกมเสมอเอฟเวอร์ตัน 1-1 ที่กูดิสัน พาร์ค เมื่อ 4 ตุลาคม 2015 เกมสุดท้ายของเบรนดัน ร็อดเจอร์ส เมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้แม็ทช์ครั้งแรกของคลอปป์เกิดขึ้นที่แอนฟิลด์ 20 เมษายน 2016 ชนะ 4-0 รวมทั้งหมดเจอกัน 11  นัด (พรีเมียร์ ลีก 9 และเอฟเอ คัพ 2) คลอปป์ไม่เคยแพ้เอฟเวอร์ตัน เสมอ 4 นัด (ที่แอนฟิลด์ 1 ครั้ง เมื่อ 10 ธค 2017 1-1) อีก 3 ครั้งที่กูดิสัน พาร์ค เสมอ 0-0 และเป็นผลแข่งขันที่บ้านเอฟเวอร์ตัน ใน 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา

 

ครั้งสุดท้ายที่เอฟเวอร์ตันชนะลิเวอร์พูลคือ 16 ตุลาคม 2010 2-0  เกมแรกของ FSG ในฐานะเจ้าของทีมลิเวอร์พูลพอดี จากนั้นเจอกัน 22  นัด ลิเวอร์พูลชนะ 12 เอฟเวอร์ตัน 0

 

ดาร์บี้แม็ทช์มีความสำคัญกับทั้งสองทีม แต่อาจสำคัญมากกว่าสำหรับเอฟเวอร์ตัน เพราะนั่นคือโอกาส 2 ครั้งที่จะทำให้ดีกว่าลิเวอร์พูล ซึ่งประสบความสำเร็จมากกว่า สองทีมห่างกันแค่ 1.5  ไมล์ มีแค่สวนสแตนลี่ย์กั้นไว้ แต่เรื่องความสำเร็จ ห่างกันราวฟ้ากับดิน

 

หลังจากตั้งหลักได้ คลอปป์ได้กองหน้าที่ถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุดในยุคเขาคือ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (2015 มายุคร็อดเจอร์ส) ซาดิโอ มาเน่ (2016) และโม ซาลาห์ (2017) ทั้ง 3  เล่นร่วมกันในดาร์บี้แม็ทช์เมอร์ซี่ย์ไซด์แค่ครั้งเดียว

 

10 ธันวาคม 2017 แอนฟิลด์ 1-1  มาเน่ ซาลาห์และโซลังกี้ (ฟีร์มีโน่เป็นตัวสำรอง เปลี่ยนซาลาห์ น 67)

5 มกราคม 2018 แอนฟิลด์(เอฟเอ คัพ)  2-1 มาเน่ ฟีร์มีโน่ ลัลลาน่า

7 เมษายน 2018 กูดิสัน พาร์ค 0-0 มาเน่ อิงก์ โซลังกี้

2 ธันวาคม 2018 แอนฟิลด์ 1-0 มาเน่ ฟีร์มีโน่ ซาลาห์

3 มีนาคม 2019 กูดิสัน พาร์ค 0-0 มาเน่ โอริกี้ ซาลาห์

4 ธันวาคม 2019 แอนฟิลด์ 5-2 มาเน่ ชาคีรี่ โอริกี้

5 มกราคม 2020 แอนฟิลด์ (เอฟเอ คัพ) 1-0 ลัลลาน่า มินามิโนะ โอริกี้

21 มิถุนายน 2020 กูดิสัน พาร์ค 0-0 มาเน่ ฟีร์มีโน่ มินามิโนะ

 

แต่ละช่วงมักมีเหตุการณ์ให้คลอปป์ต้องปรับเปลี่ยนกองหน้า 3 คน ซึ่งจะว่าไปแล้ว มาเน่ ฟีร์มีโน่และซาลาห์ต้องเป็น 3 ตัวเลือกดีที่สุดในยุคของเยอร์เก้น คลอปป์

 

คราวนี้ คลอปป์ต้องตัดสินใจเหมือนกัน เขาจะเล่นกับเอฟเวอร์ตันอย่างไร ฟีร์มีโน่โดนวิจารณ์เยอะเรื่องฟอร์มการทำประตู

ฤดูกาลนี้ยิงไม่ได้เลย ประตูสุดท้ายคือเกมชนะเชลซี 5-3 ที่แอนฟิลด์เมื่อ 22 กรกฎาคม 2020 แต่ถ้าพิจารณาถึงฟอร์มการเล่นของทีม โดยเฉพาะจากนัดแพ้แอสตัน วิลล่า ไม่มีใครรอดพ้นจากการโดนวิจารณ์ ยกเว้น ซาดิโอ มาเน่เพราะไม่ได้เล่น และโม ซาลาห์ ซึ่งยิงได้ 2 ประตู

 

คลอปป์จะเชื่อมั่นใน 3 ประสานหรือไม่ เพราะมีดิโอโก้ โชต้าและทาคูมิ มินามิโนะ พร้อมรอให้สลับตำแหน่ง

 

ขณะเดียวกันแผงกลาง นี่คือจุดแข็งของลิเวอร์พูลฤดูกาลนี้ จอร์แดน เฮนเดอร์สันและธิอาโก้ อัลคันทาร่า พร้อมลงสนาม คลอปป์จะวางหมากอย่างไร มาสูตรไหน 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 ไม่นับการเหนื่อยล้า นี่คือเกมที่คลอปป์สามารถเลือกได้เต็มที่ เว้นเสียแต่ว่า มองถึงเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก นัดแรกเยือน อาแจ๊กซ์ ค่ำวันพุธที่ 20 ตุลาคม 63

 

จะเลือกอย่างไร ผมว่าคนที่ขาดไม่ได้คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ผลงานของลิเวอร์พูลยุคคลอปป์ มีและไม่มีเฮนโด้แตกต่างกันมาก 130 เกมในลีกที่มีเฮนโด้ ลิเวอร์พูลชนะ 90 แพ้ 12 ไม่มีเฮนโด้ 55  ชนะ 31 แพ้ 11 เทียบเปอร์เซนต์คือ เฮนโด้ลงสนามได้ ชนะ 69 % ลงไม่ได้ชนะ 56 % ยิงได้เฉลี่ย 2.2 ประตูต่อนัดถ้ามีเฮนโด้ ไม่มียิงได้ 2 ประตู เสียประตูกรณีเฮนโด้ลงได้ 0.9 ประตูต่อนัด ถ้าไม่มี เสีย 1.2 ประตูต่อนัด

 

กัปตันมีความสำคัญทั้งเกมรุกและรับของลิเวอร์พูลอย่างเห็นได้ชัด

 

นอกจากนี้ ไม่มีเฮนเดอร์สันในสนาม ไม่มีกัปตันที่จะกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม หรือตำหนิเวลาเกิดข้อผิดพลาด ทุกคนเคารพเฮนเดอร์สัน ไม่ว่าจะเป็น มาเน่ ซาลาห์ หรือแม้แต่เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่ขึ้นแท่นนักเตะระดับโลก แต่ทุกคนโดนเฮนโด้ด่ามากแล้วทั้งนั้น ขณะที่ฟาน ไดค์ อาจยังไม่พร้อมที่จะรับบทบาทนั้นเมื่อเกิดสถานการณ์วันสิ้นโลกที่วิลล่า พาร์ค

 

ขณะเดียวกัน เรื่องที่หลายคนกังวลคือ คาร์โล อันเขล็อตติมีความสุขุมนุ่มลึกกว่าคลอปป์ในการเปลี่ยนตัวผู้เล่น

 

นั่นคือปัญหาหนึ่งของคลอปป์ที่คนวิจารณ์ว่า มีฟุตบอลแบบหน้าเดียว ตัวสำรองของเขาไม่สามารถส่งผลต่อเกมได้เลย ตลอดปี 2019 ไม่มีแม้แต่แอสซิสต์ เพราะฉะนั้นอย่างถามถึงประตู ตัวสำรองคนสุดท้ายที่ลงแล้วยิงได้คือ ฟาบินโญ่ เกมชนะนิวคาสเซิ่ล 4-0 ในบ๊อกซิ่งเดย์  2018

 

ใช่ว่าตัวสำรองที่คลอปป์ส่งจะล้มเหลวตลอด ชาคีรี่เคยลงมาแล้วช่วยให้ทีมชนะแมนฯ ยูฯ 3-1 เช่นเดียวกับโอริกี้ยิงเอฟเวอร์ตัน น 96 และฟีร์มีโน่ยิงได้ กับซาลาห์มีแอสซิสต์ในเกมชนะเบิร์นลี่ย์ 3-1 รวมแล้ว ฤดูกาล 18-19 ลิเวอร์พูลได้ประตูจากตัวสำรอง 10 ประตูในทุกรายการ (เกิดขึ้นเฉพาะปี 18 ส่วน 19 เป็น 0)

 

ฤดูกาล 2019-20 สภาพจิตใจนักเตะลิเวอร์พูลเปลี่ยน บวกการเล่นที่มุ่งมั่นเอาชนะ เพราะฉะนั้นตัวสำรองเลยไม่ใช่ประเด็น

 

ประเด็น ณ เวลานี้คือรูปเกม ลิเวอร์พูลทำอย่างไรเมื่อเจอทีมรับต่ำ ซึ่งปัญหาเพิ่มขึ้น เมื่อเจอทีมที่เพรสซิ่งสู้แบบลีดส์ และวิลล่า ที่ตัดกลางลิเวอร์พูลออกจากเกม การปรับตัวในสนามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือสิ่งจำเป็น ลิเวอร์พูลไม่อาจเล่นเหมือนวันเจอวิลล่า คือคิดว่า ยังไงเกมรุกดีกว่า เดี๋ยวก็ยิงได้ เพราะทุกครั้งที่วิลล่าสวนมา หรือได้ยิง พวกเขาพร้อมได้ประตู เพราะแนวรับและด่านสุดท้ายเกิดความเชื่อมั่น

 

คาร์โล อันเชล็อตติคิดอย่างไร ทดสอบทีมตัวเองด้วยการบุก พยายามเอาชนะ 5 นัดรวด หรือเน้นผลการแข่งขัน รักษาสถิติไม่แพ้ใครให้ยาวนานเป็น 5 นัด แต่ใช่ว่าเอฟเวอร์ตันไม่มีจุดบกพร่อง เสีย 5 ประตูจาก 4 นัดแรก มีเกมที่ไม่เสียคือชนะท็อตแน่ม ซึ่งเอฟเวอร์ตันพยายามเน้นเกมรับ ส่วนการชนะพาเลซถือว่าโชคดีกับจุดโทษ ที่ไม่ควรเป็นจุดโทษ

 

นอกจากฝีมือ การยิงประตูแบบเข้าฮอสทั้งโดมินิค คัลเวิร์ต เลวินและฮาเมส โรดริโกซ บวกดวงก็มีส่วนไม่น้อยในชัยชนะ 4 เกมรวด นอกจากนึ้ความผิดพลาดแบบฟุตบอลระดับโรงเรียนห้ามเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เนื่องจากพวกเขาพร้อมเล่นงานคู่ต่อสู้ทันที

 

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี