ลิเวอร์พูลต่ำกว่าพาร์ ฟูแล่มเหนือมาตรฐาน 

ลิเวอร์พูลต่ำกว่าพาร์ ฟูแล่มเหนือมาตรฐาน 

 

สุดสัปดาห์ที่ลิเวอร์พูลควรเป็นจ่าฝูงของตาราง เมื่อเชลซีแพ้ และท็อตแน่มทำได้แค่เสมอที่เซลเฮิร์สท์ พาร์ค 

 

หากเป็นฤดูกาลที่ผ่านมา ผมเชื่อว่า ลิเวอร์พูลน่าเอาชนะฟูแล่มได้อย่างแน่นอน 

 

นอกจากสถานการณ์เกี่ยวกับผู้เล่นไม่เป็นใจ นักเตะอีก 2 คนบาดเจ็บระยะยาว ดีโอโก้ โชต้าและคอสตาส ซิมิกาส ครึ่งหลังคลอปป์ต้องถอดโจเอล มาติป ซี่งมีอาการเจ็บหลังออก แล้วให้จอร์แดน เฮนเดอร์สันถอยมาเล่นเซนเตอร์แทน โดยส่งทาคูมิ มินามิโนะลงแทน 

 

ก่อนครึ่งหลังเริ่ม คงสังเกตได้ เยอร์เก้น คลอปป์ ตะโกนเรียก “เฮนโด้” พร้อมทำท่าว่า ใช้สมองนะ เล่นง่ายๆ จ่ายตามช่องไป

 

หลังจากครึ่งแรก คลอปป์น่าจะคึกคักว่าลูกทีม ซึ่งกุนซือต้องตะโนกบอกว่า “ตื่นได้แล้ว” หลายครั้ง

 

โดยภาพรวม ไม่มีอะไรเสีย ลิเวอร์พูลครองบอลเยอะ 71.3 % สำหรับครึ่งแรก และ 79.1 % สำหรับครึ่งหลัง จ่ายบอล 349 ครั้งใน 45 นาทีและ 358 ครั้งใน 45 นาทีหลัง  ขณะที่ทั้งเกมฟูแล่มผ่านบอลได้แค่ 227 ครั้ง (ครึ่งแรก 135 ครั้ง และครึ่งหลัง 92 ครั้ง) แต่ที่สำคัญคือ ฟูแล่มมีโอกาสยิง 10 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง และลิเวอร์พูล 12 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง

 

เหมือนอันดับ 2 และแชมป์ปัจจุบันเจอทีมอันดับ 17 ของตาราง

 

แต่ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ  อาการเนือยของลิเวอร์พูล ซึ่งไม่อาจแก้ตัวได้ว่าเพราะฟุตบอลยุโรปกลางสัปดาห์ เนื่องจากลิเวอร์พูลพักผู้เล่นเยอะเหมือนกันในเกมกับมิดต์จิลลันด์ แต่ครึ่งหลังทำไมเล่นแตกต่าง ดีขึ้นจากครึ่งแรกมากนัก อันนี้นักเตะต้องให้คำตอบ

 

ฟูแล่มเล่นในระบบที่คุ้นเคย คือ 3-4-3 และรักษารูปทรงนี้ตลอด 90 นาที กองหน้า 3 คน รูเบน ลอฟท์ตัส-ชีค อีวาน คาวาเลโร่และอเดโมล่า ลุคแมน ใช้โอกาสอันน้อยนิดที่ได้บอลให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทีม ด้วยการจ่ายบอลเล่นงานลิเวอร์พูลจากระบบการเล่นกองหลังดันสูงได้ผลดี 

 

คาวาเลโร่และลอฟตัส-ชีคได้บอลคนละ 18 ครั้ง จ่ายเข้าเป้า 16 และลุคแมนได้บอล 23 ครั้ง จ่ายสำเร็จ 17 ครั้ง 

ทุกครั้งที่ลิเวอร์พูลผิดพลาดในครึ่งแรก ฟูแล่มแทบจะลงเอยด้วยการได้ประตู หากไม่ติดการป้องกันของอลิซง นี่อาจเป็นฝันร้ายอีกนัดรองจากเกมเยือนแอสตัน วิลล่า 

 

ผมสังเกต เกมไหนนักเตะลิเวอร์พูลพยายามเล่นการเมืองกับผู้ตัดสิน นั่นทำให้ทีมเสียหาย ซาดิโอ มาเน่ จีนี่ ไวนัลดุม และโม ซาลาห์พยายามเรียกร้องเอาฟาวล์ แต่ผู้ตัดสินอังเดร มารีเนอร์เฉย เช่นเดียวกับ ลี เมสัน ผู้ตัดสิน VAR นี่ยังไม่รู้ว่า นีโก้ วิลเลี่ยมส์เจ็บหนักแค่ไหนในการโดนลุคแมนเข้าบอล

 

VAR เช็ค การเล่นของไวนัลดุมกับลอฟตัส-ชีค ที่เกือบกลางสนาม จีนี่ล้ม แต่ทั้งผู้ตัดสินและVAR ไม่ว่าอะไร พร้อมเช็คจังหวะการเล่นของฟาบินโญ่กับคาวาเลโร่ในเขตโทษ ซึ่ง VAR บอกว่าเป็นจุดโทษ ค้านการตัดสินของมารีเนอร์

 

ร้อยทั้งร้อย หาก VAR เรียกผู้ตัดสินไปดูจอข้างสนาม ผู้ตัดสินจะเปลี่ยนคำตัดสิน นั่นหมายถึงฟูแล่มได้จุดโทษ แต่คราวนี้มารีเนอร์ยืนยันการตัดสินเดิม ซึ่งพักครึ่ง เดอร์ม็อต กัลลาเกอร์ อดีตผู้ตัดสินให้เหตุ แย้งกับไมเคิ่ล โอเว่นและเอียน ไรท์ ที่ยืนยันว่า ลูกนั้นยังไงก็จุดโทษ

 

กัลลาเกอร์มองว่า 1 เพราะมันไม่ชัดเจนว่า ลูกนี่ต้องจุดโทษแบบเลี่ยงไม่ได้ 2 เขาคิดว่า มารีเมอร์คงมองว่า เท้าของฟาบินโญ่โดนบอลขณะเท้าของคาวาเลโร่ลอยจากพื้น 

 

อันนี้ผมมองว่า ลิเวอร์พูลโชคดีมากที่ไม่เสียจุดโทษ 

 

แต่สุดท้ายก็เสียประตู เพราะการเล่นลักษณะพยายามเรียกร้องเอาฟาวล์ เมื่อโม ซาลาห์ทิ้งตัว เมื่อโดนโจอาคิม แอนเดอร์สันผลัก จังหวะที่ลิเวอร์พูลน่าจะเคลียร์ลูกเตะมุมแล้วพาบอลบุกขึ้นไป บางทีเราก็เห็นผู้ตัดสินเป่าฟาลว์กับการโดนผลักแบบปุยนุ่นอย่างนั้น แต่นักเตะลิเวอร์พูลควรคิดในใจตลอดว่า

 

เพราะเราคือลิเวอร์พูล มักไม่ได้อะไรแบบที่คนอื่นได้ ดังนั้นตั้งหน้าตั้งตาเล่นเท่านั้นถึงสัมฤทธิ์ผล

 

บอลเลยจากอาเดโมล่า ลุคแมน ต่อให้บ๊อบบี้ ดีคอร์โดว่า-รีดซึ่งยิงดีมาก ไม่รู้อลิซงจะช่วยเพื่อนๆได้อย่างไร และก่อนหน้านั้นเขาเตือนเพื่อนๆแล้วว่า ต้องมีสติหน่อย 

 

หลังฟูแล่มนำในนาที 25 ลิเวอร์พูลถึงมีโอกาสเล่นบอลในเขตโทษฟูแล่ม โดยมีโอกาสยิงสองครั้ง โดยมาเน่และซาลาห์ 

 

เกมแบบ 45 นาทีแรกที่เครเวน คอตเทจ ผมภาวนาให้จบครึ่งแรกโดยตามแค่ลูกเดียว ไม่เช่นนั้นเละ

 

ลิเวอร์พูลออกบอลยาวมากเกินไป นัยว่าพยายามเอาชนะการเพรซซิ่งของฟูแล่ม 

 

“หากไม่ชนะก็อย่าแพ้” จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กล่าวหลังเกม ลิเวอร์พูลอาจเสมอ 4 เกมล่าสุดที่เป็นทีมเยือน ชนะนัดเดียวคือเกมกับเชลซี และแพ้แอสตัน วิลล่า แต่อย่างน้อยครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลแสดงคาแรคเตอร์ในการกลับมา นี่คือแต้มที่ 85 ของลิเวอร์พูลจากเกมที่โดนนำ นับตั้งแต่คลอปป์รับตำแหน่งเมื่อตุลาคม 2015 

 

ผมดูเกมฟูแล่มมาหลายนัด ไม่คิดว่าพวกเขาจะสร้างปัญหาให้ลิเวอร์พูลได้ขนาดนี้ ต้องยอมรับฝีมือของสก๊อตต์ พาร์คเกอร์ในการปลุกเร้าลูกทีม เขากล้าปรับนักเตะเก๋าอย่าง ทีม รีม และทอม เครนนี่ย์ จาก 11 ตัวจริง ใส่แอนโทนี่ โรบินสันและดีคอร์โดว่า-รีด ลงแทนมาหลายนัด ดูจากโปรแกรม 3 เกมล่าสุด ไม่ควรมีแต้ม แต่ฟูแล่มชนะเลสเตอร์ แพ้แมนฯ ซิตี้นิดหน่อย และเสมอลิเวอร์พูล 

 

ผิดกับทีมที่โดนอาร์เซน่อลสอยหมดรูป หรือแพ้เวสต์ แฮมเพราะอเดโมล่า ลุคแมนพยายามยิงจุดโทษแบบพาเนงก้าในช่วงทดเวลาเจ็บ 

 

คลอปป์คงอยากให้หมดครี่งแรกเร็วๆ เหมือนกัน คำว่า “Wake Up” ออกจากปากเขาตลอดเวลา เช่นเดียวกับขณะรีบวิ่งเข้าห้องแต่งตัว และเขาออกจากห้องแต่งตัวก่อนนักเตะ เพื่อคุยกับ เจ้าหน้าที่ประจำแม็ทช์ของพรีเมียร์ ลีก ไซม่อน มอร์แกนถึงความไม่พอใจบางสิ่งบางอย่าง นั่นหลังจากเขาพูดอะไรบางอย่างกับนักเตะและทำให้ลิเวอร์พูลเล่นเหมือนมีโอกาสเอาชนะ 

 

ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลมีโอกาสยิง 8 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง ขณะที่ฟูแล่มมีโอกาสยิง 4 ครั้ง เข้ากรอบ 1 ครั้ง ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เห็นอัลฟอง อเลโอร่าจะเหนียวอะไร แต่คืนนี้เหนียวเหลือเกิน แถมเกือบเซฟจุดโทษของโม ซาลาห์ได้

 

จุดโทษของลิเวอร์พูลได้จากฟรีคิกและบอลโดนแขนกำแพง จีนี่ ไวนัลดุมยิงบอลโดนแขนอาบูบาการ์ คามาร่า แม้แขนนักเตะฟูแล่มแนบลำตัวแต่ฤดูกาลนี้ ผู้ตัดสินตีความว่า ถ้าโดนคือแฮนด์บอล 

 

โม ซาลาห์ยิงแล้ว 5 ประตูในการเล่นทีมเยือน มากกว่า ฤดูกาล 19-20 ที่ยิงแค่ 4 ลูก รวมแล้วโมมีส่วนกับประตูของลิเวอร์พูลในลีกรวม 20 ลูกเมื่อเจอทีมที่เลื่อนชั้น โดยยิงได้ 12 และมี 8 แอสซิสต์ 

 

นื่คือการไม่ชนะนอกบ้านติดต่อกัน 5 เกมของลิเวอร์พูลในการเล่นพรีเมียร์ ลีก ยาวนานที่สุดในยุคของคลอปป์เท่ากับฤดูกาล2017 นัดต่อไปเจอท็อตแน่มที่แอนฟิลด์ เราได้แค่หวังว่า ลิเวอร์พูลจะคืนฟอร์มเมื่อเล่นในแอนฟิลด์ ซึ่งชนะรวดในฤดูกาลนี้

 

แต่ดูสภาพนักเตะที่มีอยู่แล้วเหนื่อยใจแทนคลอปป์ 

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี