สิ่งที่อยู่ใต้น้ำมักมองไม่เห็น

มาเพื่อทดแทนกับเล่นด้วยกันคือแนวคิดที่แตกต่างกัน ดีโอโก้ โชต้า

มาเพื่อทดแทนกับเล่นด้วยกันคือแนวคิดที่แตกต่างกัน ดีโอโก้ โชต้า

สามารถทำได้ทั้ง 2 แบบกับเกมรุกของลิเวอร์พูล ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงโดยไม่จำเป็น

มาเพื่อทดแทนกับเล่นด้วยกันคือแนวคิดที่แตกต่างกัน ดีโอโก้ โชต้า

นับตั้งแต่โม ซาลาห์ย้ายมาอยู่กับทีม

นั่นเพราะลิเวอร์พูลไม่เคยมีตัวเลือกที่สมน้ำสมเนื้อ กระทั่งวันนี้ ความแข็งแกร่งของลิเวอร์พูลถูกทดสอบด้วยการบาดเจ็บของผู้เล่น Premier Injuries เว็บไซต์ที่แทร็คการบาดเจ็บนักเตะทุกทีมระบุว่า 10 คนของลิเวอร์พูลมีอาการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม กรณีของฟาบินโญ่ นีโก้ วิลเลี่ยมส์ รีหส์ วิลเลี่ยมส์และธิอาโก้ อัลคันทาร่า ระบุต่อท้ายว่า Late Fitness Test

 

สมัยก่อนตอนผมส่งข่าวจากอังกฤษกลับเมืองไทย หากบอก Late Fitness Test รอทดสอบความฟิตนี่ลงทุกราย แต่ปัจจุบันไม่แน่ไม่นอน อย่างน้อยก็เพราะแนวคิดของคลอปป์คือไม่เร่ง และไม่ดูแลนักเตะเพื่องานเกมเดียว 2 วิลเลี่ยมส์ สภาพร่างกายอยู่ที่ 75 % ฟาบินโญ่ 50 % และธิอาโก้แค่ 25 %

 

นักเตะชุดใหญ่ขาด 10 คน แต่ผมว่า ใครก็เดาใจเยอร์เก้น คลอปป์ยาก ทั้ง 11 ตัวจริงและแผนการเล่น ยกตัวอย่างเช่น การจัดทีมเจอแมนฯ ซิตี้ที่เอติฮัดก่อนเบรกทีมชาติ ตามที่ผมเกริ่น ไม่มีใครคิดหรอกว่า โชต้าจะเล่นร่วมกับมาเน่ ฟีร์มีโน่ และซาลาห์ เช่นเดียวกับลักษณะการเล่นส่วนใหญ่เป็น 4-2-4 ในเกมรุก และ 4-4-2 ในเกมรับ

 

4-3-3 คือ The name of the game ของคลอปป์ เขาใช้เป็นประจำ จนบางทีหลายคนก็บอกมันถึงทางตัน ทีมอื่นจับทางได้ โดยเฉพาะหลังจากโปรเจ็คต์ รีสตาร์ทเป็นต้นมา เกมรุกของลิเวอร์พูลไม่ร้อนแรงเหมือนครึ่งแรกของฤดูกาล 2019-20

 

“ตอนนี้เราเล่นได้ 3 – 4 ระบบแล้ว หากคุณทำแบบนั้นกับแมนฯ ซิตี้ได้ คุณก็ใช้กับเกมอื่นได้” คลอปป์กล่าวหลังเกมแมนฯ ซิตี้ แต่การขาดผู้เล่นหลัก 10 คน 4 คนรอทดสอบความฟิต อาจทำให้โค้ชที่ปราดเปรื่องด้านแท็คติกอย่างแบรนดัน ร็อดเจอร์สพอเดาทางออกว่า คลอปป์จะทำอย่างไร แต่มีมุมที่ใครก็เดาไม่ออกคือ สภาพร่างกายที่แท้จริงของนักเตะลิเวอร์พูล

 

แต่ลิเวอร์พูลคงไม่ทดลองอะไรใหม่ๆตลอดเวลา เพราะ 4-3-3 คือระบบที่นักเตะคุ้นที่สุด 4-2-4 แบบครึ่งชั่วโมงแรกที่เอติฮัดหวือหวา แต่ก็ขาดความแน่นอน “ปกติคนรู้ว่าเราเล่นอย่างไร แต่ตอนนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่า ใต้ผิวน้ำมีอะไรซ่อนอยู่” คลอปป์เปรียบหลักการเล่น เขาเชื่อว่า ผู้จัดการทีมแต่ละทีม วิเคราะห์ลักษณะเด่นของคู่แข่ง เตรียมแผนมารับมือ และต้องใช้เวลากว่าแมนฯ ซิตี้จะปรับตัวกับ 4-2-4 และ 4-4-2 ของลิเวอร์พูล

 

“ผมคิดว่าเป็ปไม่รู้หรอกว่า เราจะเล่น 4-4-2 มันไม่สำคัญหรอก ระบบอะไร แต่ใช้เวลาเหมือนกันว่า ซิตี้จะตั้งหลักได้ เราใช้ในเกมนี้ และจะไม่ใช้เป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน”

 

เลสเตอร์ ประสบปัญหาผู้เล่นคนสำคัญบาดเจ็บเหมือนกัน โดยเฉพาะเวสลี่ย์ โฟฟาน่า กองหลังดาวรุ่งจากฝรั่งเศสที่ทดแทนการขาดหายของเคกลาร์ ซอยยุนคูได้เป็นอย่างดี วันนี้ แบรนดัน ร็อดเจอร์สต้องปรับทีมอีกครั้ง แต่ที่ไม่ต้องปรับคือ เจมี่ วาร์ดี้ 8 ประตูจาก 7 นัดในพรีเมียร์ ลีก

 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาของอาร์เซน่อลในวันนั้นคือ พวกเขาพยายามต่อบอลมากเกินไป จนบางกองหน้าไม่รู้ว่าเมื่อไรบอลจะเข้าเขตโทษของเลสเตอร์ ผิดกับเลสเตอร์ที่เน้นเกมไดเรค ไม่ต้องลีลามาก อาศัยจังหวะฉาบฉวยได้ บวกการเล่นแบบ 3-5-2 เน้นกลางแน่นๆ ไม่ดันขึ้นสูงมากเวลาเจอทีมใหญ่ เหมือนการกำราบแมนฯ ซิตี้

 

วาร์ดี้ อายุ 33 ปี ร่างกายดี ไม่มีวี่แววว่าจะช้าลง หากเกมรับลิเวอร์พูลปล่อยให้เขาคลาดสายตาแม้แต่นิดเดียว อลิซงอาจเจอเหมือนเรย์ เคลมเมนซ์เมื่อ 31 มกราคม 1981ลิเวอร์พูลเสียสถิติไม่แพ้ใครในบ้านติดต่อกัน 63 เกม เพราะแพ้เลสเตอร์ที่อยู่อันดับสุดท้ายของดิวิชั่น 1สถานการณ์ตอนนั้นเหมือนเวลานี้ บ๊อบ เพสลี่ย์ไม่สามารถใช้งานอลัน เคนเนดี้ อลัน แฮนเซ่น เดวิด แฟร์คลัฟและเคนนี่ ดัลกลิชเพราะการบาดเจ็บ

 

ข้อแตกต่างคือคราวนี้เลสเตอร์มีโอกาสกลับไปครองตำแหน่งจ่าฝูงหากได้ 3 คะแนนจากแอนฟิลด์เป็นทีมแรก ในรอบ 63 เกม หรือตั้งแต่เมษายน 2017

 

เบรนดัน ร็อดเจอร์สพูดถึงการชนะมาเซโล่ เบลซ่า และเป็ป กวาดิโอล่าว่าเป็นผลงานสำคัญ หากมองถึงประสบการณ์และความสำเร็จของสองกุนซือ แต่การชนะมิเคล อาร์เตต้าและอาร์เซน่อล เขาไม่ได้มองว่าสลักสำคัญอะไร เพราะอาร์เตต้าไม่มีประสบการณ์ฐานะผู้จัดการทีมจัดเจนเหมือนเบลซ่าและเป็ป แง่ความสำเร็จฐานะกุนซือ เขาบอกว่าตัวเองยังเหนือกว่า

 

กับคลอปป์ 2 ครั้งแรกที่เจอกัน ร็อดเจอร์สแพ้รวด แต่ในสถานการณ์ไม่ปกติบางทีร็อดเจอร์สอาจพลิกสถิติให้เหนือคลอปป์ได้บ้าง ซึ่งไม่มีโอกาสไหนดีกว่านี้อีกแล้ว หากทำได้ เลสเตอร์อาจเป็นทีมหนึ่งที่ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีกในฤดูกาลนี้

 

ให้ผมคาดเดา เลสเตอร์น่าจะใช้แผนเดิมคือ หลัง 3 คน กลาง 6 คน โดยมีเจมี่ วาร์ดี้เล่นหน้าคนเดียว ต่อให้ฟอร์มร้อนแรงอย่างไร ผมไม่เชื่อว่า ร็อดเจอร์สจะกล้าคิดนอกกรอบแล้วทำอะไรที่เซอร์ไพรซ์เยอร์เก้น คลอปป์

 

โดยสถิติเลสเตอร์อาจมีเกมที่โลกตะลึง แต่พวกเขาไม่ใช่ทีมที่สร้างโอกาสดีที่สุด 8 นัดแรกทำได้แค่ 45 ครั้ง มากกว่าแค่เบิร์นลี่ย์ ทีมสร้างโอกาสยิงน้อยสุดในลีก ทีมของร็อดเจอร์สยิงได้ 18 ประตู ลิเวอร์พูลสร้างโอกาสได้ 89 ครั้งมากสุดในพรีเมียร์ ลีก ยิงได้ 18 ประตูเท่ากัน

 

ตัวอันตรายคือเจมส์ แมดดิสัน เพิ่งสมบูรณ์เต็มที่ ลงเล่นแค่ 270 นาที จาก 720 นาทีของเลสเตอร์ สร้างโอกาสได้ 5 ครั้ง รองลงมาคือวาร์ดี้ 4 ครั้ง เทียบกับการสร้างโอกาสกับลิเวอร์พูลข้างต้น ต่างกันครึ่งต่อครึ่ง แสดงให้เห็นว่า เลสเตอร์เฉียบคมมาก โอกาสยิง 55 ครั้ง ที่ไม่รวมการยิงแล้วติดบล็อก บอลเข้ากรอบ 38 ครั้งได้ 18 ประตู ถือว่า 69.09 % ขณะที่ลิเวอร์พูลอยู่แค่ 53.85 %

 

สัมฤทธ์ผลน้อยกว่า เลสเตอร์ เชลซี ท็อตแน่ม พาเลซ เซาแธมป์ตัน แอสตัน วิลล่า แมนฯ ยูฯ โดยลำดับ

 

แม้คลอปป์จะไม่ดันแนวรับสูงเหมือนเดิม แต่ระยะเฉลี่ยของกองหลังคนสุดท้ายถึงประตู อยู่ที่ 45.7 เมตร น้อยกว่าแค่แมนฯ ซิตี้ที่อยู่ระยะ 46 เมตร นั่นคือพื้นที่ที่วาร์ดี้จะเล่นงานลิเวอร์พูล  ขณะที่เลสเตอร์ดันแนวรับมาอยู่ที่ระยะ 40 เมตร เท่ากับมาเน่ ฟีร์มีโน่และโชต้า ต้องเจอเกมที่อึดอัดเหมือนเดิม

 

แต่อย่างที่บอกแหละครับ เราไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้น้ำ

กิตติกร อุดมผล

ปล วันนี้ ลิเวอร์พูลแสดงการคาราวะ เรย์ เคลมเมนซ์ อดีตผู้รักษาประตูยุคยิ่งใหญ่ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ 15 พยที่ผ่านมา โดยอลิซง เบ๊คเกอร์จะสวมเสื้อโกลสีเขียว แบบที่เคลมใส่ลงเล่นเป็นประจำ รีพลิก้าจากเสื้อนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ 1981 ที่ปารีส อย่างไรก็ตาม กฎของพรีเมียร์ ลีก ระบุตั้งแต่ปี 1993 ว่า ผู้รักษาประตูต้องแต่งกายให้แตกต่างจากเพื่อนร่วมทีมโดยสมบูรณ์ โอกาสที่อลิซงจะแต่งแบบเคลม คือเสื้อเขียว กางเกงแดง ถุงเท้าแดง จึงไม่อาจทำได้

 

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล.  

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี