#มหากาพย์ลิเวอร์พูล30ปีแห่งความเจ็บปวด4

#มหากาพย์ลิเวอร์พูล30ปีแห่งความเจ็บปวด4

#1996-1997การปรับตัวและกุนซือคู่

การเผชิญหน้าระหว่าง นักเตะแมนฯ ยูฯและลิเวอร์พูลในคลับถิ่นปีศาจแดง การถากถางต่างๆ ของรอย คีนที่เล่าโดยลี ชาร์ป ดุเดือดจนน่าจะมีการเติมสีสันบ้าง แต่สเกลส์ยืนยันว่า นั่นคือเรื่องจริง “เราไปเที่ยวจริง ไม่น่าเชื่อ โลกกลมมาก เราเจอรอย พวกเราคงคิดในใจว่า เอาล่ะ มีเรื่องแน่” และเรื่องเล่าคำเย้ยหยันของคีนก็เป็นจริง  จากปากคำของสเกลส์

 

“สิ่งที่เกิดขึ้น การใช้ชีวิต เที่ยวคลับ เดทสาวคนดัง อะไรก็ตาม พฤติกรรมเราไม่ต่างจากพวกเขาหรอก ถูกต้องเราเที่ยวกลางคืน แต่ทีมอื่นก็ทำเหมือนกัน แมนฯ ยูฯ ด้วย เราเจอนักเตะพวกเขาขณะเราไปเที่ยวกัน”

 

คอลลีมอร์เห็นด้วย “ผมเซ็งทุกทีเวลาคนเรียกเราว่า สไปซ์บอย หากเปรียบเทียบนักเตะสองทีมในเวลานั้น ผมคิดว่าไม่ต่างกันมากนัก มันแตกต่างหากคุณมองบางจุดเช่น ไรอัน กิ๊กส์ได้แชมป์พรีเมียร์ ลีก 13 ครั้ง แม็คมานามานไม่ได้เลย แต่แง่ความสามารถ แมนฯ ยูฯ-ลิเวอร์พูลตอนนั้นสูสี”

 

คอลลีมอร์จำบรรยากาศตอนเข้าแคมป์ทีมชาติอังกฤษได้ นักเตะแมนฯ ยูฯกับลิเวอร์พูลแยกกันคนละโต๊ะ ต่างคนต่างคุย กลุ่มนักเตะแมนฯ ยูฯเป็นพวกเครียด ตอนบ่ายวันหนึ่ง จังหวะเดินลงสนามซ้อมที่เมลวู้ด เขาเห็นฟาวเลอร์ล็อคคอรอย เอแวนส์ เอามือขยี้หัวผจก. ทีม “ผมคิดในใจ บ้าชัดๆ นั่น ผจก. ทีมนะ คุณคิดซิ นักเตะแมนฯ ยูฯ ทำแบบนั้นกับเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีทาง” คอลลีมอร์เทียบระหว่างสองทีม

 

หรือนักเตะแมนฯ ยูฯจะกล้ายอมรับหรือไม่ แบบเจมส์สารภาพหลังเกมสุดมันลิเวอร์พูลชนะนิวคาสเซิ่ล 4-3 เมื่อมีนาคม 1997 เขาบอกว่า เกมนั้นไม่มีสมาธิเพราะเผลอเล่นเกม เทคเค่น ทู กับทูมบ์ เรดเดอร์มากไปหน่อยในคืนก่อนลงแข่ง อะไรแบบนี้ทำให้เดอะ ค็อปงงว่า นักเตะเหล่านั้นเคยจริงจังกับอะไรหรือไม่

 

ข่าวลือของสไปซ์บอยมากมาย เช่น นักเตะส่งต่อเหรียญกันเวลาอยู่ในสนาม ไม่ว่าใครเป็นคนส่งแต่ถ้ามาถึงคุณ คุณต้องรับ พวกเขาเดิมพันกัน เหรียญอยู่ที่ใครเมื่อหมดเวลา คนนั้นเลี้ยงเหล้าเพื่อนร่วมทีมหลังจบเกม ฟังแล้วไม่น่าจริง แต่สเกลส์ยืนยันว่า จริง “ไม่ใช่แค่เกมเดียวนะ เราเล่นกับแบบนั้นหลายครั้ง จนเราคิดว่า น่าจะหนักข้อไปแล้ว สุดท้ายทุกคนก็เลิกทำ”

 

“ทีมลิเวอร์พูล นักเตะมีบุคลิกแตกต่างกัน” คอลลีมอร์พูลถึงเพื่อนร่วมทีม “แต่ผมคิดว่า จุดสำคัญคือ ผจก. ทีม อาจจะวิจารณ์แรงไปหน่อย แต่ต้องยอมรับว่า รอย เอแวนส์ ไม่ใช่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องยอมรับว่า จะมีกี่คนเหมือนท่านเซอร์ รอยเป็นโค้ชที่ดี วิธีการทำงานของเขาเน้นที่ การทำตัวแบบที่ควร เป็นผู้ใหญ่ เขานุ่มนวล เป็นลุงผู้ใจดี นั่นคือรอย ขณะที่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือจอมเผด็จจากผู้เหี้ยมโหด  ไม่มียอมโอนอ่อนแม้แต่น้อย”

 

“ผมทำตัวไม่เป็นมืออาชีพในช่วงนั้น นีล รัดด็อก เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ฟาวเลอร์หรือแม็คมานามาน ก็ใช่นะ 100 % แต่มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่คุณเจอ หากคุณอยู่ในองค์กรที่เป็นมืออาชีพทุกกระเบียดนิ้ว คุณก็ต้องเป็นแบบนั้น หากคุณอยู่ในกลุ่มที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย คุณก็เลี่ยงได้ยาก ห้องแต่งตัวของลิเวอร์พูลตอนนั้นเป็นแบบสบายๆ สรวลเสเฮฮา แต่ผมว่า มันขึ้นอยู่กับแนวคิดพื้นฐานของทีม ลิเวอร์พูลแบบว่า ตราบใดที่เราเล่นแบบ pass-and-move football เราจะประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีการวางโครงสร้าง หรือแนวทางว่าลิเวอร์พูลควรพัฒนาไปทางไหนเลย ณ เวลานั้น”

 

สำหรับนักเตะบางคน เคยประสบความสำเร็จสูงสุด รัชกับบาร์นส์ ในระดับสโมสร แม็คมานามานได้แชมป์ยุโรปกับลา ลีกา สองครั้งกับเรอัล มาดริด ฟาวเลอร์น่าจะสยบโลกได้จนกระทั่งอาการบาดเจ็บ และเร้ดแน็ปป์ มักเป็นหัวโจกของสไปซ์บอย แต่ความจริง เขาทำตัวเป็นมืออาชีพมาก แต่เมื่อทุกคนมารวมกัน บางอย่างขาดหายไป

 

“เราขาดความเหี้ยม ความเฉียบขาด สม่ำเสมอทุกๆสัปดาห์” สเกลส์พูดถึงทีมตัวเอง “ เราขาดผู้นำ เรื่องความดุดันของเกม คิดว่าเซอร์ อเล็กซ์โหดและเข้มงวดเรื่องวินัยมากกว่าวิธีการปฏิบัติของรอย เอแวนส์”

 

ฟังดูเหมือนอะไรก็ด่าเอแวนส์ “แต่ผมไม่ได้ด่าเจ้านาย ผมยกย่องรอยในฐานะผจก. ทีมและ คนที่เราต้องให้ความเคารพ ผมยังนับถือเขา เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องที่ดีและไม่ดี เวลาทำอะไรกับรอย มีเรื่องดีมากกว่าไม่ดีตั้งหลายเท่า ที่จริง รอยและรอนนี่ มอแรนก็ไม่อยากให้พวกเราเป็นแบบนั้น เรารู้ว่าหลายครั้งที่ทั้งสองผิดหวัง แต่สโมสร ณ เวลานั้น พยายามใช้วิธีแบบดั้งเดิม ให้นักเตะดูแลตัวเอง ยุค 70 80 ลิเวอร์พูลมีนักเตะที่เก่งมากๆ แต่ 90 ลิเวอร์พูลมาถึงยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เราต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง”

 

อะไรๆก็ลงที่รอย เอแวนส์ อาจดูหนักไป อย่างไรก็ตาม วิธีการแบบลุงเลี้ยงหลานของเขา ประสบความสำเร็จกว่าจอมโหดคนก่อน เกมของลิเวอร์พูลดี ไหลลื่น เล่นเร็วกว่าเดิม แม็คมานามาน คอลลีมอร์ ฟาวเลอร์เป็นแกนสำคัญในเกมรุก เล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจทุกเกมในพรีเมียร์ ลีก ยุคของเอแวนส์ หากพิจารณานักเตะเป็นรายคน พวกเขาทำได้ดี แต่ถ้าหาบทสรุปของทีม พวกเขาสอบตก

 

“ผมอยากให้นักเตะมีอิสระในการตัดสินใจ” เอแวนส์เล่าในหนังสือ Men In White Suits “เราต้องไว้ใจกัน บางทีผมอาจให้อิสระพวกเขามากเกินไป อะไรก็ตามกับทีมฟุตบอล หากผิดพลาด คนโดนลงโทษคือผจก. แต่คุณไม่อาจโค้ชนักเตะที่จะเป็นแชมป์ได้หรอก ก่อนทีมผมลงสนาม ผมจะจบท้ายการประชุมทีมว่า ‘Enjoy yourself’ สนุกกับการเล่นฟุตบอลนะ ผมเชื่อมั่นนักเตะว่า พวกเขาตั้งใจทำงาน”

 

24 มีนาคม 1997 ลิเวอร์พูลชนะที่ไฮบิวรี่ 2-1 ไล่ตามจ่าฝูงแมนฯ ยูฯ แค่ 3 คะแนน เหลืออีก 7 เกม เกมต่อมา ทีมของเฟอร์กูสันแพ้ที่ดาร์บี้ เคาน์ตี้ เท่ากับโชคชะตาอยู่ในกำมือของลิเวอร์พูล พวกเขาสามารถนำร่วมกับแมนฯ ยูฯได้ หากชนะโคเวนทรีที่แอนฟิลด์ในวันรุ่งขึ้น

 

ลิเวอร์พูลนำ 1-0 เหลืออีก 25 นาที เกมกลับจบด้วยความพ่ายแพ้ 2-1 เสียประตูจากลูกเตะมุมทั้งสองลูก “คุณอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้หรือไม่” เอแวนส์โดนโจมตีด้วยคำถามนี้

 

ณ เวลานั้น ดูเหมือนว่า เกมในบ้านกับแมนฯ ยูฯ 19 เมษายน น่าจะเป็นการตัดสินแชมป์ ลิเวอร์พูลมีโอกาสกลับมาหลังผิดหวังติดต่อกัน 7 ปี เอาเข้าจริง มันเป็นแค่ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับลิเวอร์พูลที่จะต่อชะตาการไล่ตามแมนฯ ยูฯมากกว่า และพวกเขาพลาด แกรี่ พัลลิสเตอร์โหม่งได้สองประตูจากลูกเตะมุมในครึ่งแรก เกมรับลิเวอร์พูลอ่อนยุ่ยอีกแล้ว แอนดี้ โคลยิงเป็น 3-1 หลังนาที 60 เมื่อเดวิด เจมส์ กะลูกเปิดริมเส้นของแกรี่ เนวิลล์พลาด จากจะเป็นแชมป์ ลิเวอร์พูลจบฤดูกาล 1996/97 ด้วยอันดับ 4 ตามหลังแมนฯ ยูฯ 7 คะแนน

 

“น่าผิดหวังมาก” จอห์น สเกลส์ยอมรับ เขาโดนขายไปท็อตแน่มระหว่างฤดูกาล “ทีมนั้นควรได้แชมป์ลีกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เกือบทำได้อยู่แล้ว ไม่กี่ก้าว แต่พอใกล้ขนาดนั้น กลับห่างไกลเป็นไมล์ แฟนบอลอาจไม่รู้สึก แต่ในฐานะนักเตะ ส่วนหนึ่งของทีม เรารู้สึก”

 

“มองย้อนกลับไป ผมคิดวา ลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่ไม่พร้อมสำหรับยุคพรีเมียร์ ลีก มีหลายอย่างเกิดขึ้น ตอนที่ผมอยู่ ลิเวอร์พูลทำงานเหมือนยุค 70 80  อะไรที่เคยได้ผล สโมสรคิดว่า เมื่อไรจะได้แชมป์ ไม่ใช่เราจะมีโอกาสหรือไม่ ความยิ่งใหญ่จากยุค 70 80 ตราตรึงในจิตใจทุกคน เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น แต่มีอะไรเกิดขึ้นมากมายหลังปี 1990”

 

เข้าสู่ฤดูกาล 1997/98 เอแวนส์ปรับทีมขนาดใหญ่ ไม่ต่อสัญญากับบาร์นส์ นักเตะคนสุดท้ายจากชุดแชมป์ 1989/90 เขาดึงอดีตมิดฟิลด์แมนฯ ยูฯ พอล อินซ์มาร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว แล้วตั้งอินซี่เป็นกัปตันทีม เหมือนนักเตะดังหลายคนที่ลิเวอร์พูลดึงเข้ามาระหว่างยุค 90 และ 2000 ทุกคนเชื่อว่า อินซ์คือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่รอคอย

 

ไม่มีการแตะต้องปัญหาในแนวรับ ฤดูกาลนี้จึงเป็นอะไรที่แปลก มีเกมที่โดดเด่น นำโดย สตีฟ แม็คมานามานและไมเคิ่ล โอเว่น ซี่งอายุ 17 ปีเท่านั้น เขาสร้างความเชื่อมั่นเหมือนฟาวเลอร์เมื่อ 4 ปีก่อน ขณะที่ฟาวเลอร์มีปัญหาบาดเจ็บรบกวนต่อเนื่อง

 

สำหรับลิเวอร์พูลแล้ว ยุค 1990 เหมือนอัญมณีมีตำหนิ ได้ที่ 3 ตกรอบฟุตบอลยุโรป โดนทีมอื่นทิ้งห่าง เพราะฉะนั้นถึงคราวต้องเปลี่ยนแปลง

 

หากการแต่งตั้งเอแวนส์ คือความพยายามอนุรักษ์ปรัชญา บู๊ต รูมให้คงอยู่ตลอดไป หน้าร้อนปี 1998 ลิเวอร์พูลต้องยอมรับ แม้จะไม่เต็มใจนักว่า ฟุตบอลอังกฤษเปลี่ยนไปเยอะ ตลอด 8 ปีหลังลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกครั้งล่าสุด

 

ขณะที่แมนฯ ยูฯ ทะยานสู่ความสำเร็จ ครองความยิ่งใหญ่ในพรีเมียร์ ลีก นี่คือมหาอำนาจแห่งยุคใหม่ อาร์เซน่อลเริ่มแข็งแกร่งอีกครั้งกับอาร์แซน เวนเกอร์ โค้ชฝรั่งเศสที่ไม่เพียงแต่เปิดตลาดใหม่ให้พวกเขา แต่มีวิถีทางใหม่เข้ามา โภชนาการ ความฟิต การดูแลร่างกาย เทคนิคการฝึกซ้อม อะไรอีกมากมาย แต่ลิเวอร์พูล ยังทำอะไรแบบเดิม “คุณต้องการไข่ทอดไหม เรเซอร์”

 

มอแรนเกษียณ ฝ่ายบริหารมองว่า ลิเวอร์พูลต้องเปลี่ยนวิธีการ หามาตรฐานนานาชาติ แบบเวนเกอร์ แต่มัวร์ส เป็นคนที่จริงใจกับเพื่อนเป็นที่สุด ความผูกพันและความรักที่มีต่อกัน ยืนยันว่า คนๆนั้น ถ้าไม่มีทำงานเหนือเอแวนส์ ในฐานะไดเรคเตอร์ ออฟ ฟุตบอล ก็ต้องมีสถานะเท่ากับเอแวนส์ หรือทำงานร่วมกัน เขาจะไม่ปลดเอแวนส์อย่างเด็ดขาด เหมือน 7 ปีก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูลเจรจากับโตแช็คที่กำลังคุมเบชิคตัสในตุรกี โตแช็คปฏิเสธข้อเสนอเพราะคิดว่า นี่คือวิธีการที่ไม่เวิร์คแน่นอน

 

ในที่สุด ลิเวอร์พูลเลือกเชลาร์ อุลลิเยร์ อดีตโค้ชทีมชาติฝรั่งเศส เทคนิเคิ่ลได้เรดเตอร์ของฝรั่งเศส เมื่อพวกเขาได้แชมป์โลกในหน้าร้อนปีนั้น อุลลิเยร์กำลังจะรับงานที่เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์เมื่อปีเตอร์ โรบินสัน CEO ลิเวอร์พูลติดต่อไป สนใจตำแหน่งงานที่แอนฟิลด์หรือไม่ อุลลิเยร์เคยเป็นครูที่เมืองนี้เมื่อสามทศวรรษก่อน ตอบรับทันที เขาและเอแวนส์ กลายเป็นผจก.ทีมลิเวอร์พูลร่วมกัน

 

ผ่านไป 4 เกม ลิเวอร์พูลเป็นที่หนึ่งในลีก ปัญหาค่อยๆก่อตัว

เรื่องเล็กๆน้อย เช่น วิธีการเดินทาง แนวปฏิบัติแบบคุณลุงหรือโค้ชจอมเฮี้ยบ เอแวนส์และอุลลิเยร์แตกต่างกัน นักเตะยังเรียก เอแวนส์ว่าเจ้านาย แต่อำนาจและบารมีค่อยๆลดน้อยลง  เอแวนส์กับอุลลิเยร์ขัดแย้งกันเรื่อง 11 ตัวในเกมที่ 5 กับเวสต์ แฮม เมื่อเอแวนส์อยากจัดทีมชุดเดิม แต่อุลลิเยร์ต้องการเพิ่มกองหลังอีก 1 คน สตีฟ ฮาร์คเนสส์แทนคาร์ล ไฮซ์น รีดเล่  การพ่ายแพ้เกมดังกล่าวที่อัพ ตันพาร์ค เป็นจุดเริ่มของ 9 เกมที่ชนะ นัดเดียว ได้ทั้งหมด 6 แต้ม

 

“น่าผิดหวังมาก” เดวิด ธอมป์สัน เพิ่งแจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ บอกต่ออีกว่า “ไม่มีใครรู้ว่า ใครมีอำนาจสิทธิ์ขาด หรือเกิดอะไรขึ้นกับทีม ผมว่าเพราะประธานสโมสรไม่กล้าพอที่จะบอกรอยว่า เขาไม่ใช่ ผจก. อีกต่อไป”

 

แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ ย้ายจากครูว์ อเล็กซานดร้าเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา รู้สึกเช่นเดียวกัน “ค่อนข้างลำบากใจ อุลลิเยร์กลายเป็นคนประนีประนอม ไม่เด็ดขาดเหมือนเดิม ทั้งสองคนขัดแย้งกันพอสมควร รอยทำอะไรตามแบบบู๊ต รูม แต่อุลลิเยร์เป็นคนละขั้วเลย บางทีมีพ่อครัวมากเกินไปก็ไม่ดี สิ่งเหล่านี้ เรามองไม่เห็นหรอก แต่เรารู้สึกว่า ในที่สุดรอยต้องไป”

 

เอแวนส์ลาออก 12 พฤศจิกายน ลิเวอร์พูลตกรอบลีก คัพเรียบร้อย อยู่ที่ 11 ในพรีเมียร์ ลีก

 

เอแวนส์พยายามกลั้นน้ำตาระหว่างแถลงข่าว เขาบอกว่า ไม่มีอะไรขัดแย้งกับอุลลิเยร์เป็นการส่วนตัว เดวิด มัวร์พยายามรั้งให้เขาอยู่ต่อ ถ้าไม่ใช่เป็นผจก. ทีมรวมตามเดิม ก็ตำแหน่งไหนก็ได้ แต่หลังจากอยู่แอนฟิลด์ 35  ปี ตั้งแต่เด็กฝึกหัด นักเตะ โค้ชและ ผจก. ทีม เอแวนส์ รูสึกว่า ต้องให้โอกาสอุลลิเยร์และทีมของเขา ดังนั้นเขาต้องเปิดทางให้ “ผมไม่อยากเป็นเหมือนผีสิงตามกำแพง” เอแวนส์สรุปแบบนี้

 

กิตติกร อุดมผล

.

.

บทความโดย กิตติกร อุดมผล

Facebook fanpage: Captain No.12

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความก่อนหน้า :: บทความลิเวอร์พูล