#มหากาพย์ลิเวอร์พูล 30 ปีแห่งความเจ็บปวด 2

มหากาพย์ลิเวอร์พูล 30 ปีแห่งความเจ็บปวด 2

จากดัลกลิชถึงซูเนสส์ 1990-1992

ฤดูกาล 1990/91 ลิเวอร์พูลเริ่มต้นป้องกันแชมป์ได้ดีมาก ชนะรวด 8 นัด  ชนะ 12จาก 13 เกม เสมอนัดเดียวคือ เยือนนอริช สกอร์ 1-1 ไฮไลท์คือเกมถล่มแมนฯ ยูฯ 4-0 ด้วยแฮตทริคของปีเตอร์ เบียร์ดส์ลี่ย์ กับหนึ่งประตูของจอห์น บาร์นส์ เมื่อ 16 กันยายน อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเจอปัญหารุมเร้ามากมาย ขณะที่แฟนลิเวอร์พูลคึกคักตะโกนกระเซ้าว่า “Fergie, Fergie, on the dole” เฟอร์กี้ เฟอร์กี้ ได้เงินโดยไม่ต้องทำอะไร

ฤดูกาลผ่านไป ปัญหาเริ่มปรากฎ สะดุดในบ้านกับแมนฯ ซิตี้ ต่อด้วยพบความพ่ายแพ้นัดแรกของฤดูกาลกับการไปเยือนไฮบิวรี่ของอาร์เซน่อล เมื่อ 2ธันวาคม สกอร์ 3-0 สถานการณ์ลุ้นแชมป์เริ่มพลิกผัน ดัลกลิชจัดทีมแบบระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะเกมรับ 5 เกมในเดือนธันวาคม นอกจากแพ้อาร์เซน่อล ลิเวอร์พูลชนะแค่ 2 นัด คือเชฟฟิลด์ ยูฯ 2-0 เซาแธมป์ตัน 3-2 เสมอ ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์สในวันบ๊อกซิ่งเดย์ และแพ้คริสตัล พาเลซในนัดสุดท้ายของปี

เคนนี่ ดัลกลิชตัดสินใจซื้อเดวิด สปีดี้ จากโคเวนทรีในเดือนมกราคม และจิมมี่ คาร์เตอร์จากมิลล์ วอลล์ ขณะที่ปีเตอร์ เบียร์ดส์ลี่ย์จากนักเคะคนสำคัญ กลายเป็นตัวสำรอง นักเตะรุ่นเก๋าหลายคน

เดวิด สปีดี้ คือนักเตะคนสุดท้ายที่เคนนี่ ดัลกลิชเซ็นสัญญาก่อนตัดสินใจลาออก ความจริงดัลกลิชให้ความสนใจสปีดี้มาตั้งแต่ปี 1986 แต่เคน เบตส์ ประธานสโมสรไม่ยอมขาย การอยู่กับเชลซีคือช่วงเวลาดีสุดของสปีดี้ เขาเล่นกับเคอร์รี่ ดิ๊กซั่นได้น่ากลัว ขณะที่การมาลิเวอร์พูลอาจช้าเกินไปสำหรับจอมดีเดือดจากสก๊อตแลนด์

ดัลกลิชแสดงว่ามีปัญหาโดยที่แฟนบอลลิเวอร์พูลอาจไม่รู้ตัว หน้าร้อนปี 1990 เขาแจ้งกับฝ่ายบริหารว่า เหนื่อยล้าและอยากพัก ความเครียดจากการนำ ยอดทีมอย่างลิเวอร์พูล บวกความเศร้าอย่างรุนแรงจากโศกนาฎกรรมที่ฮิลล์สโบโร่ ครอบงำเขามากขึ้นในแต่ละวันของการทำงาน แม้แต่ตัวคิงเคนนี่เองเริ่มไม่แน่ใจว่า เขาดีพอสำหรับงานนี้หรือไม่

ลิเวอร์พูลชนะเอฟเวอร์ตันในลีก 3-1 เอฟเอ คัพ ไม่น่าเป็นปัญหา เครื่องจักรสีแดงน่าจะผ่านได้ แต่นัดแรกที่แอนฟิลด์ของรอบ 5 จบด้วยการเสมอ 0-0 ปีเตอร์ เบียร์ดส์ลี่ย์เป็นตัวจริงนัดแรกนับจากเดือนธันวาคม แต่กระนั้นเขายิงไป 11 ประตูจาก 14 เกมแรกที่ลงเล่น นี่คือฤดูกาลที่มีปัญหาสำหรับทุกคน

20 กุมภาพันธ์ 1991 เกมแข่งใหม่เอฟเอ คัพ รอบ 5 ที่กูดิสัน พาร์ค ความบัลลัยต่ออนาคตของลิเวอร์พูลเริ่มเกิด ปีเตอร์ เบียร์ดส์ลี่ย์ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ แกรม ชาร์ปโหม่งเสมอให้ทอฟฟี่ ซึ่งกร็อบเบลล่าร์น่าจะเซฟได้ เบียร์ดส์ลี่ย์ยิงอีกในครึ่งหลัง ชาร์ปตีเสมออีก จากความผิดพลาดระหว่างบรูซซี่และนิโคล ทำให้ชาร์ปได้ยิงจาก 2 หลาสกอร์ 2-2 ทอฟฟี่เมนบางส่วนกรูลงมาที่สนาม ขณะนั้นเหลืออีก 17 นาที ภาพตัดมาที่ข้างสนาม เคนนี่ ดัลกลิชแสดงสีหน้าเครียด ขรุ่นคิด

เอียน รัชโหม่งประตูที่น่าจะเป็นประตูชัย ลิเวอร์พูลพยายามคุมเกม ถ่วงเวลา ครองบอล แม้แต่ผู้บรรยายังบอกว่า ลิเวอร์พูลน่าจะได้เข้ารอบ 6 เจอเวสต์ แฮมที่อัพตัน พาร์ค และมีโอกาสยิประตูที่ 4เพื่อปิดเกม จนกระทั่ง แฟนบอลเริ่มเป่าปาก เร่งผู้ตัดสินให้ยุติเกม จนกระทั่งหายนะเล็กๆ เกิดขึ้น ลิเวอร์พูลอาจเสียสมาธิ จากบอลที่น่าจะเคลียร์ได้หลุดถึงตัวสำรอง โทนี่ ค็อตตี้ เขาตีเสมอนาที 90  ยุคนั้น เกมเอฟเอ คัพ ต้องเล่นจนกว่าจะหาผู้ชนะด้วยการต่อเวลา 30 นาที หากไม่มีผู้ชนะต้องรีเพลย์อีก (นั่นคือปัญหาหนึ่งของฟุตบอลอังกฤษ)

จอห์น บาร์นส์ รับลูกทุ่มจากริมเส้นฝั่งซ้าย ลากตัดเข้าในก่อนยิงจากนอกกรอบเขตโทษ สุดปัญญาที่เนวิลล์ เซาธอลล์จะป้องกันได้  นาที 103 ลิเวอร์พูลนำ 4-3 แต่โทนี่ คอตตี้ ตีเสมออีกในนาที 113 จากความผิดพลาดของลิเวอร์พูลเอง จบต้องเล่นกันใหม่อีกนัด

สิ่งที่ดัลกลิชตัดสินใจไม่ได้มาหลายเพลา เขาตัดสินใจได้แล้ว “ผมไม่สามารถทำงานได้ ไม่สามารถคุมสติ ผมอาจเป็นบ้าได้” เขายอมรับหลังจากนั้น

22 กุมภาพันธ์ 1991 จำสำคัญ ของลิเวอร์พูล เช้าวันศุกร์ที่ไม่น่าจะมีอะไรมาก จนกระทั่งเคนนี่ ดัลกลิชบอกนักเตะว่า เขาลาออกแล้ว ด้วยสัญชาตญาณของนักเตะทุกคนพอจะรู้ว่า เรื่องนี้ต้องเกิดขึ้น ดัลกลิชมาจนสุดทางแล้ว เขาดูไม่มีชีวิตชีวา เป็นแค่เงาของเดอะ คิงผู้ยิ่งใหญ่ “ทุกคนช็อค ตกตะลึงเมื่อได้ยินแบบนั้นกับหูตัวเอง พวกเราพูดไม่ออกเลย” รอนนี่ โรเซนธาล ยอมรับ

ใครจะคิด และไม่น่าปรับตัวได้ แม้กระทั่งพวกเราที่ฝ่ายต่างประเทศสยามกีฬา จะเชียร์หรือไม่เชียร์ลิเวอร์พูล อะไรกัน ลิเวอร์พูลเป็นที่ 1 ในลีก เล่นเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์เกมที่สอง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ลิเวอร์พูลแพ้ลูตันในวันรุ่งขึ้น 3-1 แพ้ ตกรอบเอฟเอ คัพ ด้วยการแพ้เอฟเวอร์ตันในเกมรีเพลย์นัด 2 และแพ้อาร์เซน่อล 1-0 3 มีนาคม ทำให้สถานการณ์ลุ้นแชมป์เปลี่ยนไป แชมป์ไล่ตามอาร์เซน่อล 3 คะแนน เควิน มอแรน ไม่น่าจะเอาอยู่ สำหรับบทบาท ผจก.รักษาการ

“เท่าที่ติดตามลิเวอร์พูลมา” สจ๊วร์ต โจนส์เขียนในหนังสือพิมพ์เดอะ ไทม์ส “พยายามหาร่องรอยแห่งความพินาศที่แอนฟิลด์อันแข็งแกร่งตั้งแต่บิลล์ แชงค์ลี่ย์ สร้างให้ที่นี่เป็นป้อมปราการกว่า 20 ปีก่อน เราไม่เคยหารอยร้าวนั้นเจอ จนกระทั่งวันนี้ ลิเวอร์พูลอาจล่มสลายได้”

พูดเกินจริงไป ณ ขณะนั้นคือความคิดของคนจำนวนมาก อะไรกัน ลิเวอร์พูลจะย่อยยับเพราะเรื่องแค่นี้ สโมสรยิ่งใหญ่กว่าคนนะ

ที่จริง โจนส์เขียนด้วยหลักการที่แม่นยำ นักเตะ 10 คนของลิเวอร์พูลชุดนั้น อายุเกิน 29 ปี นอกเหนือจากแกรี่ แอ็บเล็ตต์ เดวิด เบอร์โรว์ส ไมค์ ฮูเปอร์ สตีฟ สตอนตัน และแบร์รี่ เวนิสัน อนาคตของสโมสรฝากไว้กับนักเตะอ่อนหัดอย่างจิมมี่ คาร์เตอร์ ไมค์ มาร์ช สตีฟ แม็คมานามาน และเจมี่ เร้ดแน็ปป์ที่อายุแค่ 17 ปี จากที่เคยหัวหดเมื่อเจอลิเวอร์พูล คู่ต่อสู้ต่างเอามือลูบปากเมื่อเจอทีมชุดนี้

ไคล์ฟ ไวต์ จากเดอะ ไทม์สเช่นกัน สรุปสั้นๆว่า “ช่างเป็นวาระที่ซวยสิ้นดี สำหรับใครก็ตามที่มารับตำแหน่ง ผจก. ลิเวอร์พูล หลังจากบิลล์ แชงค์ลี่ย์ครองบัลลังก์เมื่อ 32 ปีก่อน จนกระทั่งแขงค์ลี่ย์ลาออกเมื่อปี 1974 นืคือการเลือก ผจก. ทีมครั้งสำคัญที่สุด”

ฝ่ายบริหาร นำโดยโนเอล ไวต์ ประธานคนใหม่ มีมติเป็นเอกฉันท์ ผจก. จะต้องเป็นคนที่รู้จักสโมสร เข้าใจปรัชญาของบู๊ต รูมเป็นอย่างดี หากมอแรน ไม่มีความสุขที่จะทำงาน แม้กระทั่งการรักษาการ ผจก คนใหม่ต้องเป็นอดีตนักเตะเท่านั้น ทางเลือกคือ จอห์น โตแช็ค หรือ แกรม ซูเนสส์

มีใครคิดหรือไม่ อลัน แฮนเซ่น กัปตันทีมที่รับใช้สโมสรมายาวนาน ไม่ได้เตะฟุตบอลในสนามเลยตั้งแต่วันรับแชมป์ด้วยการชนะควีนส์พาร์ค เรนเจอร์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ด้วยวัย 35 ปี จ๊อคกี้น่าเตรียมแขวนรองเท้า เขาอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

หนึ่งสัปดาห์หลังดัลกลิชลาออก แฮนเซ่นเดินเข้าห้องแต่งตัวก่อนเรียกนิโคลไปคุยเป็นการส่วนตัว “ผมกำลังคิด ห้องทำงานผจก. ตอนนี้เป็นห้องใคร กำลังเกิดอะไรขึ้นกับสโมสร เราเดินผ่านห้องของชีล่า เลขานุการของผจก. มาจนถึงห้อง ผจก. “นิโคลเล่า “บิ๊กอัลนั่งบนเก้าอี้แล้วบอกผมว่า ผมได้รับข้อเสนอให้เป็นผจก. นะ ผมอุทานว่า จริงเหรอ เขาพูดต่อว่า ผมให้คุณเป็นกัปตันทีมนะ เราต้องประชุมกัน เรียกบรรดานักเตะมานะ ผมคิดในใจ สงสัยเขาอำ แต่ขณะเดียวกัน ผมก็งงไปหมด จบต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ”

“ผมเรียกเพื่อนร่วมทีมใน 10 นาที บิ๊กอัลเข้ามาในห้อง ปิดประตู เอาล่ะ ผมมีข่าวมาแจ้ง ผมรับตำแหน่งผจก.นะ บรูซี่ปรบมือ แต่เป็นคนเดียวที่ปรบมือ เสียงดังสามครั้งแล้วหยุด อัลบอลว่า ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ใครก็ตามที่พักแถวเซาธ์พอร์ต ห้ามไปเดอะ คราวน์ วันแห่งความสุขจบแล้ว บาร์นซี่ย์ห้ามสั่งอาหารแบบเทค อะเวย์ ต่อจากนี้ ทุกคนต้องเข้าสโมสรเช้าวันอาทิตย์เพื่อดูวิดีโอแม็ทช์แข่งขัน เราต้องนำสโมสรกลับสู่จุดที่เคยอยู่ นอกจากนี้ ผมแต่งตั้งสตีฟ นิโคลเป็นกัปตันทีม ใครมีอะไรจะพูดไหม เอาล่ะเจอกันในการซ้อม”

“อัลเดินออกไป ขณะที่ห้องแต่งตัวเงียบสงัด ผมยังคิดว่า เขาอำเหมือนเดิม แต่คนอื่นคงงงยิ่งกว่าเดิม เรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก รัชชี่บอกว่า ไอ้ระยำนี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร บอกเราให้ทำนั่นทำนี่ ห้ามเมา แต่ไม่กี่นาทีต่อมา บิ๊กอัลเปิดประตูโผล่หน้ามาพร้อมพูดแบบยิ้มๆว่า ที่พูดไปทั้งหมดน่ะ ล้อเล่น ผมแขวนสตั๊ดต่างหาก โชคดีนะพวกแก”

จากโมโห กลายเป็นโล่งอก แต่ก็ใจหวิว เสาหลักที่ต้นกำลังผุพัง และปลดระวาง 12 เดือนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลพบการเปลี่ยนแปลงมากมาย จอห์น สมิธ ประธานสโมสรที่อยู่มายาวนานจากไป ดัลกลิชลาออกและแฮนเซ่นโบกมือลา

จากสโมสรที่มั่นคงดังหินผา ลิเวอร์พูลกำลังกลายเป็นซากปรักหักพัง

แกรม ซูเนสส์ ได้รับคำเตือนก่อนตัดสินใจรับงานกับลิเวอร์พูล

วันที่ซูอี้ยื่นใบลาออกกับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ประธานสโมสร เดวิด เมอร์เรย์ บอกนักข่าวว่า “เขากำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่สุดในชีวิต” วันนั้นซูเนสส์ไม่เห็นด้วย แต่วันนี้ เขาอาจอยากเปลี่ยนใจที่ตัดสินใจลงใต้

เรื่องโจ๊กของแฮนเซ่น กลายเป็นชีวิตที่ดีเลย หากเกิดขึ้นจริง เพราะการใช้ชีวิตกับซูเนสส์เป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่า

แชมเปญชาร์ลี คือสไตล์ชีวิตของซูเนสส์ สมัยเป็นผู้เล่นและรุ่งเรืองกับลิเวอร์พูล 7 ปีหลังเขาจากปีไป เมษายน 1991 เขากลับมาพร้อมพบกว่า ลิเวอร์พูลยังไม่ขยับไปไหน ติดหล่มของตัวเอง การเจอคนเดิมๆในที่ทำงานหลังเวลาผ่านไปนานขนาดนั้น มองในแง่ดี ก็อบอุ่นใจ แต่อีกแง่ มันก็น่าเป็นห่วงไม่น้อย อดีตเพื่อนร่วมทีมยังอยู่ บรูซี่อายุ 33 กิลเลสพี 30 นิโคล รัช และรอนนี่ วีแลน ใกล้วันหมดอายุ  คนอื่นๆ เดวิด สปีดี้ และเกล็นน์ ไฮเซ่น อายุ 31 ปีเตอร์ เบียร์ดส์ลี่ย์ 30 สตีฟ แม็คมานและเรย์ เฮาจ์ตัน 29

ผจก. คนใหม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทีม เปลี่ยนวิถีชีวิตของทุกคน เช่น ทุกคนมารวมตัวที่แอนฟิลด์ทุกเช้า เปลี่ยนเสื้อผ้า ขึ้นรถสโมสรไปเมลวู้ด เพื่อซ้อม ซูเนสส์เห็นว่า นักเตะคนขับรถไปสนามซ้อมและขับรถกลับบ้านเอง วิธีนี้เน้นที่ประสิทธิภาพ ให้ทุกคนมีสมาธิกับการซ้อมมากกว่าเดิม ไม่ใช่ซ้อมเสร็จ ตัวเลอะขึ้นรถกลับมาแอนฟิลด์ แต่นักเตะรุ่นใหญ่หลายคนไม่เห็นด้วย เพราะการทำงานแบบซูเนสส์ ทำให้ทีมไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกัน ซึ่งสร้างความกลมเกลียวในหมู่นักเตะ

ซูเนสส์ผ่านสถานการณ์แบบนี้มาแล้วที่ไอบร็อกซ์ พยายามเปลี่ยนนิสัย นำเอาวิธีการสมัยใหม่เข้ามา ทัศนคตะแบบมืออาชีพกับเรนเจอร์ส ซึ่งเคยตกต่ำก่อน ซูเนสส์รับตำแหน่งนักเตะและผจก. เมื่อ 1986 นักเตะเรนเจอร์สไม่ต่อต้านซูเนสส์ แต่กับลิเวอร์พูล มหาอำนาจแห่งอังกฤษ ครองบัลลังก์มายาวนาน ต่อต้านอย่างรุนแรง แต่เดิม ทีมจะแวะร้านฟิช แอนด์ ชิพ ระหว่างทางกลับบ้าน สำหรับแม็ทช์เยือน หรือดื่มเบียร์บนรถระหว่างทาง ซูเนสส์ต้องการให้นักเตะเปลี่ยนรูปแบบดำรงชีวิต อาหาร ไก่ ปลา พาสต้า สลัด น้ำแร่ ก่อนเกมห้ามกินสเต๊ค ห้ามทานไข่ ชิพ(มันทอด)

“แต่เราได้ดับเบิ้ลแชมป์ตอนกินสเต๊คก่อนเกมนะ” เสียงต่อต้านจากห้องแต่งตัว

เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก่อหายนะในใจ เช่นเดียวกับการเปลี่ยนนักเตะ กิลเลสพี สปีดี้ สตีฟ สตอนตัน และเบียร์ดส์ลี่ย์ กลุ่มแรกที่โดนอับเปหิ ตามด้วยแม็คมาน ไฮเซ่น เฮาจ์ตัน เวนิสัน และแอ็บเล็ตต์ในหน้าร้อน 1992 นักเตะที่เข้ามาคือ มาร์ค ไรท์ ดีน ซอนเดอร์ส มาร์ค วอลเตอร์ และไมเคิ่ล โธมัส มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ต้องสูญเสียและค่าใช้จ่าย นักเตะรุ่นใหม่ได้ค่าจ้างแพงกว่านักเตะเดิม ยิ่งกว่านั้น ความร้อนแรงเพิ่มขั้น เมื่อซูเนสส์ได้รับมอบอำนาจให้เจรจาสัญญานักเตะเอง นี่คืองานที่ไม่น่าจะมีใครอยากทำ และภายหลังเขาคงอยากบอกว่า เป็นความผิดพลาดมหันต์เลยทีเดียว

ซอนเดอร์ส ย้ายจากดาร์บี้ เคาน์ตี้ ด้วยค่าตัวเป็นสถิติของอังกฤษ 2.9 ล้านปอนด์ในเดือนกรกฎาคม เขายิงได้ในบอลถ้วย แต่ทีมโฉมใหม่ของซูเนสส์มีปัญหาในลีก “แกรม พยายามเปลี่ยนทีม โล๊ะนักเตะรุ่นเก่าอายุมาก ดึงนักเตะใหม่ๆ อายุน้อยเข้ามา” ซอนเดอร์ส เล่า “มันก็เป็นปัญหา แต่สิ่งที่แกรมประสบมากที่สุดคือ การบาดเจ็บ นักเตะหลายคนเจ็บเอ็นร้อยหวาย แล้วทีมไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ผมไม่สามารถเล่นกับจอห์น บาร์นส  จนมกราคม”

19 ฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์ดพูล หลุด 2 อันดับแรกแค่ครั้งเดียว (1980/81) แต่ได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพและลีก คัพ ฤดูกาลแรกที่ซูเนสส์คุมทีมเต็มๆ ของซูเนสส์ (1991/92) ลิเวอร์พูลเป็นที่6  ชนะ 3 จาก 21 เกมนอกบ้าน ชนะซันเดอร์แลนด์ในนัดชิงเอฟเอ คัพ พอจะบอกได้ว่า ทีมกำลังพัง บรรยากาศในห้องแต่งตัวแย่สุดๆ

ซูเนสส์ยอมรับว่า เขาผิดพลาด บางทีจุดเปลี่ยนสำคัญ อาจเป็นเมษายน 1992  เมื่อเขาตัดสินใจรับการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจถึง 3 เส้น เขาตัดสินใจขายข่าวนี้ให้เดอะ ซัน ฉบับเดียว หนีงสือพิมพ์ต้องห้ามสำหรับลิเวอร์พูลหลังจากฮิลล์สโบโร่ เพราะเสนอข่าวให้ร้ายแฟนบอลลิเวอร์พูล ไม่สนใจข้อเท็จจริง ซูเนสส์กลับมาคุมทีมในนัดชิงเอฟเอ คัพได้ ฝ่ายบริหารประกาศสนับสนุนผจก. ต่อไป แต่เตือนว่า ต้องระวังเรื่องการให้สัมภาษณ์แบบนั้น

ผ่านไปสองปี จากการลาออกของเคนนี่ ดัลกลิช ลิเวอร์พูลกลายเป็นคนละทีมแล้ว

“สโมสรที่ค่อยๆพัฒนาไปทีละน้อย ตัดสินใจเลือกนักปฏิวัติ” ไซม่อน บาร์นส์ เขียนในเดอะ ไทม์ส หลังนัดชิงเอฟเอ คัพ “เขาไม่ต้องการความมีเสน่ห์ของบู๊ต รูม แต่แสวหาความสำเร็จที่ดีขึ้น แต่โดดเด่นเฉพาะตัว ยิ่งเสี่ยง อาจประสบความสำเร็จมากขึ้น หรือล้มเหลวแบบไม่เป็นท่า ซูเนสส์ต้องการโดดเด่นกว่าทุกคน เหนือสิ่งอื่นใด ซูเนสส์ต้องการที่จะเดินคนเดียว และคุณไม่ควรทำแบบนั้น เมื่ออยู่กับลิเวอร์พูล”

You should not walk alone at Liverpool

.

.

บทความโดย กิตติกร อุดมผล

Facebook fanpage: Captain No.12

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความก่อนหน้า :: บทความลิเวอร์พูล