มหากาพย์ลิเวอร์พูล 30 ปีแห่งความเจ็บปวด ตอนที่ 10

มหากาพย์ลิเวอร์พูล 30 ปีแห่งความเจ็บปวด ตอนที่ 10

#2014-2020 อาถรรพ์ คำสาป กับคลอปป์ส อาร์มี่

มหากาพย์ลิเวอร์พูล 30 ปีแห่งความเจ็บปวด ตอนที่ 10

ฤดูกาล 2001-02  และ 2008-09 มีบางอย่างที่เจ็บปวดเกี่ยวพันกัน ลิเวอร์พูลทะยานขึ้นลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก ฉับพลัน ฤดูกาลต่อมาทีมตกต่ำแบบทิ้งดิ่ง  ยุคอุลลิเยร์ พวกเขาเปลี่ยนจากที่ 2 (80 คะแนน) หล่นเป็นที่ 5 (64 คะแนน)ในปี 2003 ยุคของเบนิเตซ จากที่ 3 (82 แต้ม) ในปี 2006  แต้มหดเหลือ 68 คะแนนในปี 2007 แม้อยู่ที่ 3 เหมือนเดิม และปี 2009 ได้รองแชมป์ (86 คะแนน) ก่อนร่วงไปอยู่ที่ 7 (63 คะแนน) ในฤดูกาลถัดมา

 

เหตุคือ ความล้มเหลวในการซื้อนักเตะ (ดียุฟ ดิเยา และเชร์รู ปี 2002 อาควิลานี่ ปี 2009) จนกลายเป็นเรื่องค้างใจของลิเวอร์พูล เรียกได้ว่าอาถรรพ์อย่างหนึ่ง หลังจากเกือบทำได้ ต้องผิดหวัง ลิเวอร์พูลมีอาการเป๋เพราะความผิดหวัง กลายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าใครก็ตาม ดีสุดขีดแล้วเละ อุลลิเยร์ไม่สามารถทำได้ดีขึ้นหลังปี 2002  เบนิเตซในปี 2006 และ 2009 ทีมกำลังเบ่งบาน ฉับพลันเหี่ยวเฉา

 

ลักษณะคล้ายๆกับร็อดเจอร์ส เขาเกือบทำได้ ในฤดูกาล 2013-14 แต่ซัวเรซย้ายไปบาร์เซโลน่า ทิ้งช่องว่างที่ไม่อาจทดแทนได้ นั่นพูดกันแบบเกรงใจนะ แต่นักเตะที่ซื้อหามา ฟาบิโอ บอรินี่ ลาซาร์ มาร์โควิช ริคกี้ แลมเบิร์ต และมาริโอ บาโลเตลลี่ ยิงได้รวมกัน 6 ประตูในพรีเมียร์ ลีก ฤดุกาล 2014-15 สเตอร์ริดจ์ยิงได้ 4 ประตู เพราะบาดเจ็บเกือบตลอดฤดูกาล ส่งผลให้ทีมผลงานย้ำแย่ จากที่ 2  84 คะแนน กลายเป็นที่ 6 ได้แค่ 62 คะแนน

 

เจ็บแล้วยังไม่เท่า เกมสุดท้ายของสตีเว่น เจอร์ราร์ดก่อนย้ายไปแอลเอ กาแลคซี่ ลิเวอร์พูลแพ้สโต๊ค ซิตี้ที่บริตาเนีย 6-1

ร็อดเจอร์สไม่โดนปลดตั้งแต่หน้าร้อนปี 2015 เป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก เพราะเขาขัดแย้งกับผู้บริหารสโมสรด้านนโยบายซื้อนักเตะ  เห็นต่างกับคณะกรรมการซื้อขายในเรื่องซื้อนักเตะ

เมื่อซัวเรซย้ายไปในปี 2014 ฮาเวียร์ มานคีโญ่ (ยืมตัว) อัลแบร์ดต้ โมเรโน่ เดยัน ลอฟเร็น เอ็มเร่ ชาน อดัม ลัลลาน่า มาร์โควิช แลมเบิร์ต บาโลเตลลี่และดิว็อค โอริกี้ ปี 2015 ลิเวอร์พูลได้นักเตะ 3 คนที่มีผลต่ออนาคตโจ โกเมซ เจมส์ มิลเนอร์ และโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่

แต่ร็อดเจอร์สยืนยันให้ซื้อคริสติยง เบนเทเก้ ค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ ซึ่งลักษณะการเล่นแตกต่างกับนโยบายของร็อดเจอร์สโดยสิ้นเชิง  หรือสไตล์ที่แตกต่างจากนักเตะคนอื่นในทีม

บรรยากาศเหมือนไม่ใช่ทีมของร็อดเจอร์ส การแถลงข่าวแต่ละครั้งเปลี่ยนไป จากพรั่งพรูความรู้ด้านแท็คติกฟุตบอล กลายเป็นตรึงเครียด ติดขัด ผจก. ที่เป็นผู้ชนะ คึกคัก ทรงพลังจากสวอนซี กลายเป็นคนที่รอคอยความพ่ายแพ้

ฤดูกาลผ่านไป 8 นัด (2015-16 หลังจากเสมอที่เอฟเวอร์ตันแบบจืดชืด 1-1 เขาโดนปลด ลิเวอร์พูลต้องการแนวทางใหม่ เช่นเดียวกับแรงบันดาลใจอีกด้วย

มีคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะกับการงานนี้

 

คุณสมบัติที่ปรากฎชัดกับเยอร์เก้น คลอปป์ นับตั้งแต่แว่บแรกที่เขายิ้มให้สื่อมวลชนในการแถลงข่าวเปิดตัวเขา ตุลาคม 2015 ผิวสีเข้มเพราะแดดเผา ดูกระปรี้กระเปร่า หลังพักนาน 5 เดือนจากการอำลาดอร์ทมุนด์ด้วยความซาบซึ้ง

ระหว่างเขา แฟนบอลและสโมสร ไม่ว่าคลอปป์ทำอะไร เปล่งรัศมี มีเสน่ห์ และอารมณ์ดี เขาไม่ประกาศว่าตัวเองมีผลงานยิ่งใหญ่แค่ไหน ผจก. บางคนอาจทำแบบนั้น แต่ไม่ถ่อมตัวจนไม่เหลือความคาดหวังอะไรให้ เขาบอกว่า เป็น คนธรรมดา จากแบล็ค ฟอเรสต์ แต่ยืนยันว่า ปัญหาของลิเวอร์พูล ไม่ย่ำแย่อย่างที่

เขาพูดซ้ำหลายครั้ง ลิเวอร์พูลคือสโมสรพิเศษ แต่จากการวิเคราะห์ของเขา ทีมกำลังมีปัญหา 25 ปีหลังจากได้แชมป์ลีก ครั้งสุดท้าย

หลายคนคิด ความวิตกกังวลปกคลุมทุกอณูของสโมสร “มองในฐานะคนนอก” คลอปป์กล่าว “พวกเขา (แฟนบอลและนักเตะ) ค่อนข้างเป็นกังวล บรรยากาศในสนามดี แต่กลับไม่มีความสุข คือความหมายว่า เราต้องเริ่มต้นใหม่ เปลี่ยนจากคนขี้วิตกให้มีความเชื่อมั่น

“We have to turn doubters into believers.”

ช่างเป็นประโยคที่ยอดเยี่ยมมาก ทุกคนเชื่อคลอปป์ตั้งแต่วันแรก แฟนบอล ผู้เล่น เจ้าหน้าที่ “เขาเปลี่ยนบรรยากาศทั้งหมด” เอ็นริเก้กล่าว

ในสนามซ้อม งานหนักราวกับคนใช้แรงงาน มิลเนอร์จำได้ว่า เหนื่อยมาก วิ่งด้วยความเร็วต่อเนื่อง ยาวนาน จนนักเตะหนุ่มๆบางคนถึงกับอาเจียน ณ อีกด้านของสนาม

มิลเนอร์จำได้ว่าการทำงานของคลอปป์และสตาฟมีรายละเอียด แม่นยำ ทั้งเทคนิค แท็คติก เปลี่ยนนักเตะให้กลายเป็นเครื่องจักรสำหรับกดดันคู่ต่อสู้ คลอปป์บอกว่า

สไตล์เล่นของทีมเขาคือ ฟุตบอลแบบเฮวี่ เมทั่ล แต่รายละเอียดเกี่ยวกับแท็คติกจากคำบอกเล่าของมิลเนอร์คือ  “ซับซ้อนเกินกว่าคนจะจินตนาการได้ คนทั่วไปแค่คิดว่า แค่วิ่งไล่บีบคู่ต่อสู้ เหมือนคนบ้า ไม่ต้องคิดอะไร

แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้น ผมไม่รู้ว่าทีมอื่นซ้อมหนักแบบเราหรือเปล่า หากพวกเขาทำ ผมก็ยอมรับนะ”

ด้วยนักเตะที่ไม่น่าจะเหมาะกับสไตล์เพรสซิ่งของคลอปป์ แต่มีเกมที่พวกเขาชนะอย่างน่าประทับใจ ใน 2 เดือนแรก 3-1 ที่เชลซี 4-1 ที่แมนฯ ซิตี้ 6-1 ที่เซาท์แฮมป์ตันในลีก คัพ บางเกมที่แอนฟิลด์ก็ไม่น่าสบายใจนัก คลอปป์ตกใจเมื่อเห็นแฟนบอลผลุนผลันออกจากสนามก่อนหมดเวลา ขณะพวกเขาไล่ตามคริสตัล พาเลซ 2-1

“ณ ตอนนั้น ผมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก” เขาให้สัมภาษณ์หลังเกม

บรรยากาศในแอนฟิลด์ค่อยๆเปลี่ยนไป เมื่อฤดูกาลค่อยๆดำเนินไป ทีมผลงานดีได้เข้าชิงยูโรป้า ลีก มีเกมชนะแมนฯ ยูฯ ดอร์ทมุนด์ และบีบาร์เรอัล แม้จะแพ้เซบีญ่านในนัดชิง

เช่นเดียวกับแพ้จุดโทษแมนฯ ซิตี้ในนัดชิงลีก คัพ กลับไม่สร้างความเจ็บปวดมากนัก แน่นอน พวกเขาผิดหวังในงานเลี้ยงหลังนัดชิงที่เบเซิ่ล

คลอปป์เรียกนักเตะให้ล้อมวงเข้ามาบนฟลอร์เต้นรำ ก่อนบอกทุกคนว่า จะมีเกมนัดชิงอีกหลายนัด ต่อด้วยการตะโกนว่า “We are Liverpool” เราคือลิเวอร์พูล เป็นต้นเสียงให้นักเตะเปล่งเสียงตาม

ผ่านมา 2 ปี ลิเวอร์พูลได้เข้าชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ ลีกกับเรอัล มาดริดที่เคียฟ กราฟพัฒนาการของทีมตั้งชันมาก ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดงของทีมซื้อขาย ที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็นจุดบอด นักเตะหลายคนเข้ามา จอร์จินิโอ ไวนัลดุม ซาดิโอ มาเน่ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และเวอร์จิล ฟาน ไดค์ ทีมสตาฟที่อัดแน่นด้วยความสามารถ จิตวิญญาณ ขับเคลื่อนให้นักเตะก้าวไกลเกินกว่าที่ทุกคนคิด

แม้ผลงานหลายนัดในแชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนั้นอาจเกินความคาดหมาย ผลงานครึ่งแรกของฤดูกาล 2017-18 เกมรับของทีมแย่มาก เสียประตูเป็นว่าเล่น ข้อพิสูจน์คือเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดเยือน เซบีญ่า พวกเขาขึ้นนำ 3-0  ก่อนจบเกมด้วยการเสมอ 3-3 ทีมขาดความเหนียวแน่น การเอาตัวรอดยามเจอความกดดันในเกม ผ่านไปครึ่งฤดูกาล ฟาน ไดค์ย้ายจากเซาท์แฮมป์ตัน ทุกอย่างเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ลิเวอร์พูลถล่มคู่ต่อสู้ โดยไม่ต้องพะวงหลัง เห็นได้จากเกมสำคัญที่ชนะ แมนฯ ซิตี้และโรมา ในแอนฟิลด์ รอบน็อค เอาท์ แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยไม่ต้องกังวลว่าทำนบจะพังทลาย

พวกเขาแพ้ที่เคี้ยฟ สกอร์ 3-1  แต่ไม่ผิดหากเชื่อมั่นว่า เกมไม่น่าลงเอยแบบนี้ถ้าซาลาห์ไม่บาดเจ็บ และมีประตูที่ไว้ใจได้กว่าลอริส คาริอุส ซึ่งไม่อาจปฏิเสธข้อผิดพลาด นำไปสู่สองประตูของเรอัล เกมที่อิสตันบูลกับเบนิเตซเมื่อ 13 ปีก่อน คลอปป์และทีมค้นหานักเตะพบจุดอ่อนของทีมที่ต้องปรับปรุง ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นเช่นไร นาบี เคต้าย้ายจากไลป์ซิกมาแอนฟิลด์หลังครบเงื่อนไขยืมตัว ฟาบินโญ่จากโมนาโก ด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ แค่ 48 ชั่วโมงหลังนัดชิง เชอร์ดาน ชาคีรี่มาจากสโต๊ค และสำคัญที่สุดคือ อลิซงจากโรมา ผู้บัญชาการในกรอบเขตโทษซึ่งลิเวอร์พูลโหยหามาหลายปี

ตอนนั้น ค่าตัวของอลิซงแพงที่สุดในโลก ลิเวอร์พูลใช้เงินมากมาย และหลายคนมองว่า อลิซงแพงเกินไป แต่เหมือนฟาน ไดค์ เขานำความมั่นคง และความสม่ำเสมอของฟอร์มการเล่น ในที่สุด ลิเวอร์พูลมีทีมและกลุ่มนักเตะที่อาจดีพอสำหรับการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีกอย่างจริงจัง แต่ต้องฝ่าด่านสำคัญคือ แมนฯ ซิตี้ของเป็ป กวาดิโอล่าที่ทำสถิติถล่มทลาย

ฤดูกาล 2018-19 ลิเวอร์พูลทำ 98 แต้ม มากเป็นอันดับสามของสถิติพรีเมียร์ ลีก ชนะ 30 เสมอ 7 แพ้ นัดเดียว ไม่เหมือนฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูลรักษาฟอร์มได้ในฤดูกาลใหม่ อาการหลอนจากอดีตที่ผ่านมา ล้มเหลวหลังจากมีโอกาสลุ้นหมดไป ชัยชนะที่ยากเย็น ณ เซาท์แฮมป์ตัน และนิวคาสเซิ่ล บ่งบอกความเชื่อมั่นว่า นี่คือปีของพวกเขา

ปัญหาคือแมนฯ ซิตี้ก็ชนะต่อเนื่องเหมือนกัน นัดสุดท้ายของฤดูกาลที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลเอาชนะวูล์ฟส์แบบสบายๆ แต่ต้องลุ้นให้แมนฯ ซิตี้ของเป็ปพลาดท่าที่ไบรท์ตัน ซึ่งเกิดขึ้นสั้นๆ เมื่อไบรท์ตันนำ 1-0 ช่วง 21 นาทีของนัดสุดท้าย ลิเวอร์พูลนำ 1-0 ที่แอนฟิลด์ พวกเขากำลังจะเป็นแชมป์ เมื่อมันจะเกิดขึ้นจริง ทุกคนยังมีคำถามว่า การรอคอยที่ยาวนานจะสิ้นสุดลง

ไม่หรอก แมนฯ ซิตี้พลิกกลับมา ชนะไบรท์ตัน 4-1 คว้าแชมป์ลีกติดต่อกันสองสมัย ลิเวอร์พูลที่พยายามทุกอย่างแล้ว พลาดอีกครั้งอย่างน่าเจ็บปวด ขาดไปแค่ไหนเชียว ก็อาจแค่ความพ่ายแพ้นัดเดียวที่แมนฯ ซิตี้ เกมที่ยอดเยี่ยมระหว่างสองทีม เมื่อมาเน่น่าควรยิงให้ลิเวอร์พูลนำก่อน 1-0 ในนาที 18 แต่จอห์น สโตนส์เคลียร์บอลได้จากเส้นประตู ระยะทางระหว่างประตูกับความผิดหวังห่างกันแค่ 11.7 มิลลิเมตร์ จากตัวเลขของฮอว์ค อาย

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลมีรางวัลปลอบใจ หรือมากกว่าการปลอบใจ นัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก ติดต่อกันสองฤดูกาล ด้วยการคัมแบ็คสุดมหัศจรรย์ในเกมกับบาร์เซโลน่าซี่งมีลิโอเนล เมสซี่อยู่ในทีม คราวนี้ พวกเขาเจอทีมอังกฤษด้วยกัน ท็อตแน่มที่มาดริด ลิเวอร์พูลได้รับการยกให้เป็นเต็งสำหรับการคว้าแชมป์ แต่ท็อตแน่มพยายามรุกกดดันอย่างหนัก

3 ปีครึ่งภายใต้การทำงานของคลอปป์ ลิเวอร์พูลพัฒนามาไกลมาก แต่ยังขาดแชมป์รายการแรก

“เราไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดว่า คราวนี้แหละ เราต้องทำได้ แต่เมื่อมีโอกาสนึกทบทวน ผมว่าเราเจอความกดดันมหาศาล ต้องชนะนัดชิงคราวนั้นให้ได้ มันกดดันมาก” มิลเนอร์กล่าว “ชัยชนะส่งผลต่อทีมขนาดไหน ความมั่นใจของเรา ผจก. พวกเราแต่ละคน หากเราเล่นนัดชิงอีกครั้งแล้วแพ้ นั่นคือนัดชิงครั้งที่ 4 ของผมกับลิเวอร์พูล เราแพ้มา 3 ครั้ง ความกดดันมหาศาลทีเดียว แต่เราไม่เครียด มั่นใจก่อนลงสนาม แต่นัดชิงนั้นดุเดือด ไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย”

ลิเวอร์พูลชนะท็อตแน่มที่มาดริด 2-0 เกมไม่สนุกเหมือนสกอร์ จนกระทั่งประตูยิงประตูย้ำชัยช่วงท้ายเกม ก่อนนั้นไม่มีใครมั่นใจได้ว่า ลิเวอร์พูลจะชนะ  ลิเวอร์พูลก้าวสู่จุดสูงสุดของยุโรปอีกครั้ง จากวันนั้นไม่เหมือน 14 ปีก่อน เส้นทางทุกอย่างทอดสู่แชมป์พรีเมียร์ ลีก จุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ถ้วยศักดิ์สิทธิ์ที่พรากจากทีมไปแสนนาน “นี่เป็นแค่การเริ่มต้น” ซาลาห์กล่าวหลังนัดชิง “ฤดูกาลหน้า เราจะลุยเพื่อพรีเมียร์ ลีก”

ลุยอย่างไร พวกเขาขย่ำคู่ต่อสู้ทุกทีมที่ขวางหน้า รวมถึงแมนฯ ซิตี้ ลิเวอร์พูลชนะ 8 เกมรวด ก่อนเสมอแมนฯ ยูฯ ในเกมที่ 9 จากนั้นชนะ 18 นัดติดต่อกัน ไม่ว่าอุปสรรคยากเย็นแค่ไหน ลิเวอร์พูลสามารถหาหนทางชนะคู่ต่อสู้จนได้ ทั้งที่อีกไม่กี่อึดใจ คำว่าชนะจะหลุดลอยไป บางที จุดพลิกเกมมาจากการเปิดของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ การพลิกบอลนิดเดียวของฟีร์มีโน่ การเลี้ยงของซาลาห์ ความเหนือชั้นของมาเน่ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ทีมของคลอปป์มีจิตใจของผู้ชนะที่หายไปจากทีมเป็นเวลายาวนาน

จุดศูนย์รวมของทีม ผู้เชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกันคือจอร์แดน เฮนเดอร์สัน นักเตะที่เกือบไม่มีอะไรกับทีมเมื่อสิบปีก่อน

สุดท้าย คลอปป์นั่นเอง หลายปีที่ลิเวอร์พูลมีผจก.เก่ง แต่ลิเวอร์พูลจะกลายเป็นพลุที่พุ่งโด่งแล้วดับเร็ว ไม่สามารถสลัดความผิดหวังได้ ในที่สุด พวกเขาเปลี่ยนจาก ทีมที่วิตกกังวล กลายเป็นเชื่อมั่น ยุคของคลอปป์ ทีมแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความผิดหวังจากที่เกือบทำได้ เป็นแรงขับให้พวกเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ไม่ใช่จุดบอด

ยุค 1990 คู่ต่อสู้มีความเป็นมืออาชีพ ร่างกายแข็งแรง ผอมเพรียว หิวกระหายมากกว่า ณ บัดนี้ นักเตะที่ลิเวอร์พูลดึงมาสู่ทีมผลงานยอดเยี่ยม ด้วยการทำงานกับคลอปป์ นักเตะอย่างโรเบิร์ตสัน  ไวนัลดุม ซาลาห์ มาเน่ หรือแม้แต่นักเตะค่าตัวระดับท็อปของยุโรป ฟาน ไดค์และอลิซง พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

บ่ายวันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2020 ลิเวอร์พูลนำแมนฯ ยูฯ 1-0 อลิซงเปิดบอลให้ซาลาห์ควบหาด่านสุดท้ายของปีศาจแดง ลึกในช่วงทดเจ็บ นักเตะหนุ่มจากนากริกวิ่งฉีกกองหลังก่อนยิงผ่านดาบิด เค เคอา ประตูแรกของเขาในเกมกับแมนฯ ยูฯ  ทำให้ทีมชนะอย่างสุดประทับใจอีกนัด นั่นคือวินาทีที่ความเชื่อมั่นของทุกคนทะลุมาตรวัด ตลอดฤดูกาล เดอะ ค็อปต้องหักห้ามใจ อย่าเพิ่งคิดถึงแชมป์ มันอาจเป็นอาถรรพ์ เหมือนปี 2009 2014 และ 2019 แต่ประตูของซาลาห์ ทำให้การฉลองอย่างสุดเหวี่ยงเริ่มต้น เสียงร้องตะโนกลั่นสนาม ทั่วทั้งสนาม กึกก้อง มั่นใจ

Now you’re gonna believe uswe’re gonna win the league.”

ลิเวอร์พูลเสียสถิติไม่แพ้ใครที่วัตเฟิร์ด 29 กุมภาพันธ์ แต่หลังชนะบอร์นมัธ วันที่ 7 มีนาคม ลิเวอร์พูลนำแมนฯ ซิตี้ 25 คะแนน ได้ 82 แต้มจาก 87 คะแนนเต็ม เหลืออีก 9 นัด ชนะมากกว่าทีมไร้พ่ายของอาร์เซน่อลเมื่อฤดูกาล 2003-04 ไม่เพียงแต่ลิเวอร์พูลยุติการรอคอยยาวนาน 30 ปี พวกเขาทำสถิติต่างๆมากมายตั้งแต่ก่อนสิ้นเดือนมีนาคม

ฉับพลันโลกเปลี่ยน การระบาดของโคโรน่าไวรัส ฟุตบอลหยุดนิ่ง โลกพยายามเอาตัวรอด เสียงเรียกร้องให้ยกเลิกฤดูกาลดังถี่ขึ้น อาถรรพ์ยังอยู่ ต่อให้พวกเขาเล่นดีขนาดไหนก็ตาม แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษยังอยู่ที่ 18 ครั้ง มันจะอยู่ตลอดไปเชียวหรือ เหมือนกร็อบเบล่าร์ ผู้รักษาประตูในอดีตของทีมแชมป์ 1990 เคยบอกว่า หมอผีชาวซิมบับเวลงอาคมที่แอนฟิลด์ ในเกมเทสติโมเนี่ยลแม็ทช์ของเขาเมื่อปี 1992

“ผมกังวลเหมือนกัน เพราะหลายคนพูดถึงการโมฆะฤดูกาล” คลอปป์ให้สัมภาษณ์ก่อนลีกรีสตาร์ท “แบบว่า โอ้โห ผมหมดแรงเลย ถ้าเป็นแบบนั้นคงแย่มากๆ”

เสาร์ที่ 9 พฤษภาคม เฮนเดอร์สันควรได้ซอยเท้าก่อนชูถ้วยชนะเลิศอีกครั้ง ถูกเลื่อนออกไป ลิเวอร์พูลเงียบสงัด แอนฟิลด์ปิดตายไร้ผู้คน

แต่ ฤดูกาลเปิดฉากอีกครั้ง ฝันร้ายของการโมฆะหมดไป มีการกำหนดว่า หากฤดูกาลต้องยกเลิก จะใช้ระบบคิดแต้มเฉลี่ยต่อเกม ยังไงลิเวอร์พูลก็เป็นแชมป์ แต่คงไม่ดีเท่าการชนะในสนาม เพียงแต่ชัยชนะ หรือแชมป์ไม่อาจเกิดขึ้นต่อหน้าคนดูมากมาย แน่นสนาม บรรยากาศซาบซึ้ง รวมถึงอดีตนักเตะอย่างดัลกลิช แฮนเซ่น รัช บาร์นส์และเจอร์ราร์ดเข้ามาปรบมือให้จากไดเรคเตอร์ บ็อกซ์ นี่คือสิ่งที่เดอะ ค็อปทุกคนวาดฝันมานาน หลังจากการผจญภัยที่เจ็บปวด นาน 30 ปี พร้อมความแคลงใจว่า สุดท้ายแล้ว ลิเวอร์พูลจะล้มคว่ำอีกหรือไม่

“ชัดเจน น่าเสียดาย แต่คุณจะบอกว่า ผิดหวังก็ไม่ได้ ในสถานการณ์แบบนี้” คาร์ราเกอร์พูด “บอกตามตรง ฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูล บางที เรากังวลเหมือนกัน 2-3 เดือนที่แล้ว ฤดูกาลอาจโมฆะ มันไม่ใช่การฉลองอย่างที่เราอยากได้ แต่แฟนลิเวอร์พูลก็หาทางสนุกกันจนได้ ผมมั่นใจ”

นั่นรวมถึงแดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ เขาอายุ 13 ปี ขณะนั่งบนอัฒจันทร์ฝั่งแอนฟิลด์ โร้ด กับพ่อ ดูจอห์น บาร์นส์ยิงจุดโทษผ่านเดวิด ซีแมน เมื่อ 30 ปีก่อน “ยุคนั้น เราเหลิง แบบเด็กถูกตามใจ” อดีตมิดฟิลด์ลิเวอร์พูลกล่าว “ตอนนั้นแชมป์ลีก เป็นเรื่องธรรมดามาก เราชนะบ่อยเวลาได้แชมป์ก็ไม่ใช่แบบว่า ทุกอย่างมหัศจรรย์มาก ผมไม่เคยคิดเลยว่า เราต้องเดินทางกัน 30 ปีกว่า จะได้แชมป์อีกครั้ง”

“30 ปี” นิโคลให้สัมภาษณ์จากคอนเน็กติกัต เขาถอนหายใจ “ปี 1990 ผมไม่เคยคิดว่าเราต้องเจออะไรแบบนี้ บางช่วงผมอาจคิดว่า เราอาจไม่ดีพอ แต่ก็น่าจะแก้ปัญหาได้ แต่สุดท้าย ทุกอย่างทอดนานกว่าที่คิด ทุกอย่างผ่านไปเร็วมาก ก่อนเราจะรู้ตัวก็ 5 ปี 10 ปี 20 ปี ยิ่งนานเท่าไร มันก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น จนกลายเป็นทุกจ์ทรมาณ ตอนนั้นเราเกือบถึงฝั่งฝันแล้ว”

เพราะตอนนี้ หลังจาก 1149 นัด นักเตะ 239 คน ผจก 9 คน ตอนนี้ เราสามารถพูดได้อีกครั้งว่า ลิเวอร์พูลคือแชมเปี้ยนของอังกฤษ แค่รอการรับถ้วยชนะเลิศอย่างเป็นทางการเท่านั้น

อาถรรพ์รองแชมป์ทลายสิ้น มีแต่อนาคตและคำถามว่า ลิเวอร์พูลจะก้าวไปไกลขนาดไหนกับเยอร์เก้น คลอปป์

ณ วันนี้ ทุกคนพร้อมกับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แบบไม่ประมาท

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี