ลิเวอร์พูลไม่อาจงัดเชลซีหรือแมนฯ ซิตี้ด้วยเงิน

ฟุตบอลอังกฤษค่อนข้างยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติ ขั้นตอน กฎระเบียบแบบอังกฤษ

ฟุตบอลอังกฤษค่อนข้างยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติ ขั้นตอน กฎระเบียบแบบอังกฤษ

จนกระทั่งชายคนหนึ่งเข้ามาเปลี่ยนฟุตบอลอังกฤษให้กลายเป็นอีกโลกด้วยความร่ำรวยมหาศาล

ฟุตบอลอังกฤษค่อนข้างยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติ ขั้นตอน กฎระเบียบแบบอังกฤษ

สมัยนั้น ลิเวอร์พูลถ้าจะไล่ล่าความสำเร็จ คิดแค่ทำให้ดีกว่าแมนฯ ยูฯ หรืออาร์เซน่อลก็เพียงพอ กระทั่งโรมัน อบราโมวิชเข้ามา สมรภูมิการต่อสู้ก็เปลี่ยนไป และปัจจุบันไม่ใช่แค่เชลซีเท่านั้นที่ลิเวอร์พูลต้องคิดคำนึง แมนฯ ซิตี้ของชีค มันซูร์ คืออีกทีมที่สรรพกำลังเหนือกว่าลิเวอร์พูลหลายเท่า

นับย้อนไปปี 1989 แจ๊ค วอล์คเกอร์ ขายกิจการครอบครัว วอล์คเกอร์ สตีลให้บริติช สตีล มูลค่า 330 ล้านปอนด์ นั่นคือสถิติสูงสุดการซื้อบริษัทเอกชนในอังกฤษ ความร่ำรวยของแจ๊ค วอล์คเกอร์ ประเมินกันที่ 600 ล้านปอนด์ เขาต่อยอดให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส จนเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ 1 สมัย ก่อนสโมสรล่มสลายเพราะครอบครัวของเขาไม่อยากหมดเงินกับเรื่องฟุตบอล

ปี 2002 เดวิด มัวร์ส ประธานสโมสรลิเวอร์พูลในเวลานั้น ขายกิจการค้าปลีกลิตเติ้ลวู้ด มูลค่า 750 ล้านปอนด์ จัดว่ามั่งคั่งมาก สินทรัพย์ของตระกูลมัวร์มีมากกว่านั้น แต่กลายเป็นเศษๆของโรมัน อบราโมวิช ที่เทคโอเวอร์เชลซีในปี 2003 ปัจจุบันอบราโมวิชสินทรัพย์ลดลงตามสภาพเศรษฐกิจ แต่เขามีทรัพย์สินมูลค่า 12 พันล้านปอนด์

ต่อให้แจ๊ค วอล์คเกอร์รวมกับเดวิด มัวร์สก็ไม่อาจสู้โรมัน อบราโมวิชคนเดียว แถมยิ่งสู้ยิ่งเจ๊ง เพราะฉะนั้นมัวร์พยายามหาคนที่รวยกว่ามารับช่วงต่อลิเวอร์พูล เพื่อสู้กับเชลซี แมนฯ ซิตี้  ในที่สุดก็ลงเอยที่ FSG อันเป็นกลุ่มธุรกิจที่มองทุกอย่างเป็นธุรกิจ และไม่ทำแบบชีค มันซูร์หรือโรมัน อบราโมวิช เวลาบริหารทีมฟุตบอล

จริงแล้ว เชลซีเริ่มประสบตั้งแต่ปี 1995 ซึ่งลิเวอร์พูลกำลังตกต่ำ (ปี 1995-2001 เชลซีได้แชมป์เอฟเอ คัพ 2 ครั้ง ลีก คัพ 1 ครั้ง และคัพ วินเนอร์ส คัพ 1 ครั้ง ลิเวอร์พูลไม่ได้แชมป์เลย) และสิบปีหลังจากโรมัน อบราโมวิชเทคโอเวอร์ เชลซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ครั้ง พรีเมียร์ ลีก 3 ครั้ง เอฟเอ คัพ 4 ครั้ง ลีก คัพ 2 ครั้ง (นับแค่ปี 2012)

ภาพความคิดของคนอังกฤษเปลี่ยนไป ทำไมคนที่ไม่เกี่ยวพันกับสโมสร จะทุ่มเงินมหาศาลให้สโมสรอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเขาหมดความต้องการที่จะลงทุน สโมสรจะเป็นอย่างไร

33 ปีก่อนหน้าอบราโมวิช เชลซีอันดับดีกว่าลิเวอร์พูลแค่ 2 ครั้ง นั่นคือช่วง 4 ปีก่อนยุคอบราโมวิชเมื่อปี 2003-04  17 ปี จากนั้น เชลซีอันดับดีกว่าลิเวอร์พูล 11 ครั้ง ดีกว่าแมนฯ ยูฯ  8 ครั้ง

แมนฯ ยูฯ ร่ำรวย ลงทุนไม่น้อย แต่ที่ชัดเจนคือ ชัดเจนของแหล่งที่มาด้านการเงิน หรือรายได้อันเกิดจากสโมสร อันนี้คือความพยายามของ FSG   ผิดกับเชลซีหรือแมนฯ ซิตี้

ความแตกต่างด้านการเงินปรากฏตั้งแต่ปี 2003 การแย่งตัวเดเมี่ยน ดัฟฟ์ของแบล็คเบิร์น ช่วงนั้น แบล็คเบิร์นยังไม่มีปัญหาการเงิน พวกเขาไม่อยากขายดัฟฟ์และต่อสัญญานักเตะ ลิเวอร์พูลมีงบประมาณแค่ 12 ล้านปอนด์ ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขย้ายทีมในสัญญาของดัฟฟ์ 17 ล้านปอนด์

ตูม เชลซีติดต่อ เดเมี่ยน ดัฟฟ์กลายเป็นนักเตะของพวกเขาในทันที ไม่ต้องเสียเวลาคุยมาก เช่นเดียวกับ ทิโม แวร์เนอร์ เบน ชิลล์เวลล์ และอีกหลายคนที่เข้าสู่สโมสรในฤดูกาลนี้

จากอบราโมวิชสู่ท่านชีคที่พร้อมลุยเพื่อคว้าตัวลิโอเนล เมสซี่ ขณะที่ลิเวอร์พูลยังไม่อาจขยับแม้แต่น้อย ด้วยเหตุผลว่า ไม่รู้อนาคตจะมีรายได้เท่าไร ซึ่งมันก็ถูกต้อง คือสู้กับคนรวยกว่านี่ มีแต่แพ้ หากจะวัดเฉพาะกำลังเงิน

ลิเวอร์พูลสนใจโจเซ่ มูรินโญ่เพื่อแทนที่เชลาร์ ฮุลลิเยร์ในปี 2004 ทำไมหวยออกที่ราฟาเอล เบนิเตซ แม้ลิเวอร์พูลจะบอกว่า ราฟามีบุคลิกเป็นลิเวอร์พูลมากกว่าโจเซ่ แต่ความจริงคือ ลิเวอร์พูลไม่อาจสู่เงินของอบราโมวิชได้ ริค แพร์รี่แจ้งจอร์จ ไบเด็ค ตัวแทนของมูรินโญ่ว่า ขอเวลาเคลียร์ค่าชดเชยฮุลลิเยร์ 15 วัน ระหว่างนั้น จอร์จ เมนเดส ติดต่อโจเซ่ พร้อมข้อเสนอที่กุนซือชาวโปรตุกีสปฏิเสธไม่ได้

โรมัน อบราโมวิช พบกับมูรินโญ่ก่อนรอบรอง UCL ปอร์โต้-เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่าและอีกครั้ง บนเรือหรูหราของเจ้าของทีมเชลซีที่โมนาโก ก่อนปอร์โต้ได้แชมป์ยุโรป

มูรินโญ่แจ้งลิเวอร์พูลตั้งแต่มีนาคมว่าสนใจเป็นผจกทีม แต่ฝ่ายบริหารลิเวอร์พูลบอกว่า ไม่สามารถแทงข้างหลังฮุลลิเยร์ที่พยายามนำลิเวอร์พูลกลับสู่แชมเปี้ยนส์ ลีกให้ได้ ลิเวอร์พูลต้องการประเมินทุกอย่างหลังจบฤดูกาล แต่เชลซีพร้อมลงมือ ทำให้เคลาดิโอ รานิเอเรี่ เหมือนคนตายเดินได้แห่งสแตมฟอร์ดบริดจ์ เพราะผู้บริหารตัดสินใจรวดเร็ว

มูรินโญ่ประกาศตัวเองเป็น เดอะ สเปเชี่ยล วันที่เชลซี ซื้อนักเตะ 100 ล้านปอนด์ ส่วนเบนิเตซ ต้องขายไมเคิ่ล โอเว่น และมีงบประมาณซื้อนักเตะไม่เกิน 20 ล้านปอนด์ มันคล้ายๆกับปัจจุบันหรือไม่

ลิเวอร์พูลอยากได้ วิลเลี่ยน แต่เขาเลือกไปอันชี่ มาคัชคาล่า แล้วเชลซี เช่นเดียวกับโม ซาลาห์และดีเอโก้ คอสต้า แต่บางอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่ออ๊อกซ์เลด เชมเบอร์เลน เลือกลิเวอร์พูลในปี 2017 แทนที่จะเป็นเชลซี ซึ่งเป็นทีมที่เขาเชียร์ตั้งแต่เด็ก และเสนอเงินให้มากกว่า

เหตุผลคือ เยอร์เก้น คลอปป์ และการปรึกษากับจอร์แดน เฮนเดอร์สันและอดัม ลัลลาน่าที่เชื่อว่า ลิเวอร์พูลจะยิ่งใหญ่ภายใต้กุนซือผู้นี้

สิงหาคม 2003 – ตุลาคม 2015 ลิเวอร์พูลเจอเชลซี 42 ครั้ง เชลซีชนะ 18 ลิเวอร์พูลชนะ 13 เสมอ 11 หลังจากคลอปป์รับตำแหน่ง ลิเวอร์พูลชนะ 5 เชลซีชนะ 3 เสมอ 4 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โรมัน อบราโมวิชครอบครองเชลซี แล้วอันดับต่ำกว่าลิเวอร์พูล 3 ฤดูกาลติดต่อกัน

ข้อสังเกตุคือ ยุคก่อนกฎไฟแนนเชี่ยล แฟร์ เพลย์ มีผลบังคับ ฤดูกาล 2011-12 เชลซีจ่ายเงินเกินกว่ารายได้ตลอด แต่ความสำเร็จระหว่างทาง ทำให้เชลซีมีรายได้มากกว่าลิเวอร์พูล เมื่อ FSG บริหารลิเวอร์พูลในปี 2010 เชลซีมีรายได้มากกว่าลิเวอร์พูลถึง 25 ล้านปอนด์ ในปี 208-09 และ 80 ล้านปอนด์ในปี 2009-10

สิ่งที่ FSG   ทำคือปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ เปิดสำนักงานในเมืองลิเวอร์พูลและลอนดอน เพื่อระดมทุนและคู่ค้า บวกผลงานในสนามนับตั้งแต่เยอร์เก้น คลอปป์ เป็นผจก ทีม รายได้ของทีมมากขึ้น จนในที่สุดลิเวอร์พูลมีรายได้แซงเชลซีในฤดูกาล 2018-19

อย่างไรก็ตาม กฎไฟแนนเชี่ยล แฟร์ เพลย์จะเป็นอย่างไร เมื่อยูฟ่าไม่อาจลงโทษแมนฯ ซิตี้ได้ตามคำสั่งของ CAS          โรมัน อบราโมวิชที่พยายามปรับตัวเข้ากับกฎมากขึ้น เมื่อมีกฎ FFP แต่หลังจากนี้ ไม่แน่ว่า เขาจะทำตามกฎหรือทำเหมือนปี 2003

ซึ่งลิเวอร์พูลและ FSG ก็อาจได้แต่กลืนน้ำลาย และก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก โดยหวังพึ่งมนตราแห่งเยอร์เก้น คลอปป์ต่อไป นั่นคือทางเดียวจริง ประวัติศาสตร์บอกเราว่า ไม่มีทางสู้พวกเขาจริงๆ ถ้าแข่งกันด้วยเรื่องเงิน

 

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี