ปลดพันธนาการจิตใจ

นับตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ลิเวอร์พูลฟอร์มกระท่อนกระแท่น แต้มนำห่างแมนฯ ซิตี้ก็จริง ผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งหลายยังแอบหวังว่าลิเวอร์พูลจะพลาดแชมป์พรีเมียร์ ลีกอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความยอดเยี่ยมของแมนฯ ซิตี้อย่างเดียว แต่เพราะความปอดแหกของลิเวอร์พูลเองต่างหาก พูดกันตามสำนวนอังกฤษคือ Title is Liverpool to lose.

มีนาคมโลกหยุดนิ่งเพราะโคโรน่าไวรัสระบาด ลีกแทบยกเลิกด้วยความหวังของผู้ไม่ประสงค์ดีและแสดงความเห็นแบบมีเล่ห์แอบแฝง จากสถานการณ์ที่เป็นแชมป์เร็วที่สุด กลายเป็นต้องรอแบบไม่รู้อนาคต ระหว่างนั้น นักเตะลิเวอร์พูลรักษาวินัยด้านความฟิต รอวันที่ฟุตบอลกลับมา

22 มีนาคม เกมแรกของลิเวอร์พูลจากการระบาดใหญ่ เสมอกับเอฟเวอร์ตัน 0-0 ที่กูดิสันพาร์ค หากเป็นสถานการณ์ปกติ เกมนี้คงไม่โดนไฮไลท์ว่าลิเวอร์พูลฟอร์มตก ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันแมนฯ ซิตี้ประกาศศักดาถล่มอาร์เซน่อล 3-0  ตามด้วยอัดเบิร์นลี่ย์ถึงถิ่น 5-0 ในวันอังคาร และคริสตัล พาเลซชนะบอร์นมัธ ถึงบ้าน2-0 ทำให้มีคนมองว่า ลิเวอร์พูลคือพาเลซ และพาเลซแข็งแกร่งดุจลิเวอร์พูล

ยิ่งประวัติศาสตร์ระหว่างสองทีม คริสตัลบูลเมื่อปี 2014 การคัมแบ็คจาก 0-3 มาเสมอ 3-3 ดับความหวังของลิเวอร์พูลยุคแบรนดอน ร็อดเจอร์สสำหรับการเป็นแชมป์ ทีมแรกที่ชนะเยอร์เก้น คลอปป์ได้ที่แอนฟิลด์เมื่อปี 2015 และทีมสุดท้ายที่ชนะเยอร์เก้น คลอปป์ที่แอนฟิลด์เมื่อ 2017 หรือ 55 เกมก่อนหน้านี้ในลีก

คริสตัล พาเลซคือยอดทีม ความหวังของโลกอีกด้านที่จะหยุดลิเวอร์พูลจากการเป็นแชมป์

ในแง่ของผลงานและประสิทธิภาพไม่มีทีมไหนในพรีเมียร์ ลีกหยุดลิเวอร์พูลจากการเป็นแชมป์ลีกฤดูกาลนี้ แม้แต่โคโรน่าไวรัส สิ่งเดียวที่จะหยุดลิเวอร์พูลได้คือ จิตใจของนักเตะลิเวอร์พูลเอง ซึ่งเยอร์เก้น คลอปป์บอกว่า เอกลักษณ์ของทีมชุดนี้คือ The Mentality Monsters จิตใจที่เข้มแข็งขนาดปีศาจยังกลัว

ความล้มเหลวที่ลิเวอร์พูลเผชิญมา 30 ปี สร้างม่านแห่งความกลัว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ลิเวอร์พูลไม่อาจฝ่าม่านแห่งความคิดนั้นได้ แม้เยอร์เก้น คลอปป์อธิบายว่าลูกทีมของเขาจิตใจเข้มแข็งและมุ่งมั่นแค่ไหน ผมว่าลึกๆ ความหวาดกลัวนั้นยังอยู่ สำหรับผม ความหวาดกลัวที่ขัดขวางลิเวอร์พูลหมดไปตั้งแต่ 19 มกราคม ชนะแมนฯ ยูฯ 2-0

“ฤดูกาลนี้จบแล้ว The league is done” โจเซ่ มูรินโญ่ กล่าวครั้งเป็นนักวิเคราะห์ของสกายสปอร์ต วันที่ลิเวอร์พูลชนะแมนฯ ซิตี้ 3-1 10 กุมภาพันธ์ 2019 ฤดูกาลเปิดไมถึงสี่เดือน เล่นกัน 12 นัด หลังเกม แวงซองต์ คอมปานี เจ้าของลูกยิงผีจับยัดเถลิงแชมป์ 2018/19 ให้แมนฯ ซิตี้ อธิบายว่า ยังหรอกโจเซ่ เดี๋ยวลิเวอร์พูลก็พลาดเอง ก่อนโดนโจเซ่ย้อนกลับว่า “ใช่สำหรับตอนนั้น เพราะพวกคุณคือทีมดีที่สุด แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ลิเวอร์พูลต่างหากคือทีมดีที่สุด และอย่าลืม คุณยังไม่ขอบคุณผมนะ ตอนที่ผมช่วยให้แมนฯ ซิตี้ได้แชมป์”

อันที่จริงผมมีทฤษฎีซึ่งไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเกมเอฟเวอร์ตัน ซึ่งจืดชืด

คือเกมใหญ่แบบนั้น แฟนบอลอยากดูการแข่งขันมันๆ สนุกสนานตื่นเต้น ประตู ผลแพ้ชนะ ฮีโร่และวิลเลี่ยน พระเอกกับผู้ร้าย แต่ความเป็นจริง ผมคิดว่า ลิเวอร์พูลเล่นแบบระมัดระวังการบาดเจ็บ และไม่ต้องการแพ้ อันจะส่งผลเสียมากมาย ทุกคนรู้ว่า ลิเวอร์พูลต้องการแค่ 6 คะแนนเพื่อเป็นแชมป์ เสียงปี่กลองเชิดรัวให้ถล่มเอฟเวอร์ตัน เหมือนในเอฟเอ คัพ หรือเกมลีกเมื่อ 4 ธันวาคม 2019 โดยศักยภาพ เอฟเวอร์ตันชุดนี้ห่างชั้นกับลิเวอร์พูล เว้นแต่เกมล่าสุด คาร์โล อันเชล็อตติ เข้ามากุมบังเฮียน

ผมเลยคิดว่า เยอร์เก้น คลอปป์ไม่ต้องการเสี่ยงอะไรทั้งสิ้น เพราะประเมินแล้วว่า เกมกับพาเลซ และ แอสตัน วิลล่าในบ้าน หรือเบิร์นลี่ย์ ยังไงก็มากพอสำหรับ 6 คะแนนที่ต้องการ ฤดูกาลนี้ เยอร์เก้น คลอปป์ไม่เสี่ยงกับอะไรทั้งสิ้น ขนาดมกราคม นำห่างแมนฯ ซิตี้ขนาดนั้น คลอปป์จัดชุดเล็กเล่นเอฟเอ คัพ ทั้งกับเอฟเวอร์ตัน ชรูว์สบิวรี่ หรือเชลซี ทั้งที่หลายคนบอกว่า จะกลัวอะไร จัดชุดใหญ่ไปเลย ลุ้นหลายๆแชมป์

อันที่จริงโม ซาลาห์ อาจฟิตพอที่จะเล่นเกมกับเอฟเวอร์ตันได้ ไม่งั้นเขาคงไม่ใส่ชื่อเป็นตัวสำรอง ขณะที่แอนดี้ โรเบิร์ตสันอาจไม่พร้อมจริงๆ หรือคลอปป์ก็เล่นโปกเกอร์แบบที่บอกว่าเป็ป กวาดิโอล่า เล่นโปกเกอร์ที่บอกว่า จะไม่จัดชุดใหญ่เล่นกับเชลซคืนพฤหัสนี้

โปรแกรมพรีเมียร์ ลีกช่วงนี้ ทุกทีมต้องหมุนเวียนนักเตะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น คลอปป์เลือกได้ว่า นัดไหนจะเล่นอย่างไร เต็มที่แค่ไหน นั่นคือฉากหลังที่เราไม่รู้ และปล่อยให้โลกสร้างกระแสว่า ลิเวอร์พูลฟอร์มตก คริสตัล พาเลซน่ากลัว

ถึงเวลา คลอปป์จัดทีมแบบที่แฟนบอลคาดหวัง มาเน่ ฟีร์มีโน่ ซาลาห์ หาก 3 คนนี้ลงพร้อมกันเมื่อไร ลิเวอร์พูลมีเกมรุกน่ากลัวที่สุดในยุโรป กองหลังมาครบ โรเบิร์ตสัน โจ โกเมซ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เขาคือคู่ขาดีที่สุดของเวอร์จิล ฟาน ไดค์ และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ซึ่งเติมไม่สุดเมื่อวันอาทิตย์

กลาง 3 คน ไวนัลดุม ฟาบินโญ่และเฮนเดอร์สัน สำหรับทีมปัจจุบัน ไม่มี 3 คนไหนของลิเวอร์พูลดีกว่าชุดนี้ ที่สำคัญไดนามิคการเล่นกลับมาเหมือนเดิม จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ถ่างออกขวาเยอะมากในเกมกับเอฟเวอร์ตัน เพราะด้านหน้าเขาคือทาคูมิ มินามิโนะ แต่กับพาเลซ เฮนโด้ไม่ต้องลุยมาก เช่นเดียวกับด้านซ้ายที่สมดุลย์มาก เปิดฉากเปรี้ยง โรเบิร์ตสันและมาเน่ประสานงานได้ดีเหมือนฟุตบอลไม่หยุดพักไป 3 เดือน

ปัญหาของพาเลซเริ่มตั้งแต่ รอย ฮ็อดจ์สันดร็อป ลูก้า มิลิโวเยวิช กัปตันทีมเป็นตัวสำรอง ให้เจมส์ แม็คคาร์ธี่ย์เป็นกลางรับ ซึ่งถามว่า จำเป็นหรือไม่ เกมเล่นกันติดๆ แบบนี้ ฮ็อดจ์สัน คลอปป์หรือเป็ปต้องหมุนเวียนนักเตะอยู่แล้ว จากนั้น วิลฟรีด ซาฮาบาดเจ็บ ในนาที 15 เขี้ยวเล็บของพาเลซแทบจะหมดไป

ตลอดเกม พาเลซวางแผนมาเล่นแบบ 4-5-1 หรือ 4-6 เสียด้วยซ้ำไป เพราะสูตรนี้ ทุกทีมใช้ได้ผล ถ้าจะหยุดลิเวอร์พูลต้องรับต่ำ ไม่เปิดพื้นที่ อย่าคิดถึงเกมรุก เมื่อเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ยิงฟรีคิกเข้าไป เกมแทบจะจบเลย ลิเวอร์พูลครอบครองทุกอย่างเอาไว้ ไม่เปิดโอกาสให้พาเลซแม้กระทั่งเล่นในเขตโทษของลิเวอร์พูล

แม้แต่ครั้งเดียว

นับตั้งแต่ Opta บันทึกสถิติดังกล่าวตั้งแต่ปี 2008 นี่คือเกมแรกที่ ทีมหนึ่งไม่สามารถเจาะเข้าเขตโทษของอีกทีมได้ตลอด 90 นาที เพราะผู้เล่นลิเวอร์พูลพยายามไล่แย่งบอลคืนเมื่อเสียบอลให้พาเลซ แบบที่คลอปป์ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า “นำ 4-0  นาที 87 นักเตะลิเวอร์พูล 4 คน ยังเข้าไปรุมนักเตะพาเลซที่น่าสงสารอยู่เลย นี่คือเกมเคาน์เตอร์ เพรส ในสนามปิด ไม่มีคนดู ที่ดีที่สุด”

ผมชอบการสัมภาษณ์ของคลอปป์กับ LFC TV มาก เมื่อคนสัมภาษณ์พูดถึงปฏิกิริยาชื่นชมลูกทีมระหว่างเกม ซึ่งเราไม่อาจได้ยิน เพราะมีเสียงคนดูเทียมกลบ คลอปป์ชมลูกทีมตลอดแบบ ดีมากเด็กๆ ผมรักโน่นนี่นั่น ถ้าดูไฮไลท์ทาง LFC TV แบบไม่มีเสียงคนดูเทียม เราจะรับรู้ปฏิกิริยานักเตะในสนาม หรือลูกยิงของอาร์โนลด์ และฟาบินโญ่ว่า เสียบตาข่ายดังแค่ไหน

ฟาบินโญ่ เกมนี้ นี่แหละ ไลท์เฮาส์ ประภาคารของเป็ป ไลน์เดอร์ส จัดการความวุ่นวายต่างๆ ในสนาม ไม่รวมถึงการเปิดบอลโม ซาลาห์ยิง และยิงเอง ผ่านบอลแม่นยำ 97.8 % และผ่านบอลแดนคู่แข่งแม่นยำ 98.4 สูงสุดในทีม สกัดได้ 6 ตัดบอล 3 แย่งบอลคืน 3 เสียบอล 3 สำหรับผม นี่คือแมน ออฟ เดอะ แม็ทช์ จริงๆ และเป็นฟาบินโญ่แบบที่เดอะ ค็อปรอคอย

เชลซี-แมนฯ ซิตี้ คืนนี้ กลายเป็นเกมตัดสินแชมป์พรีเมียร์ ลีก โดยปริยาย หากแมนฯ ซิตี้ไม่สามารถเอาชนะเชลซีได้ แชมป์ตกเป็นของลิเวอร์พูลทันที โดยไม่ต้องรอพฤหัสหน้า หรืออีก 2 คะแนน คลอปป์บอกว่า “ผมดูเกมนี้แน่นอน แต่ดูเพราะจำเป็นต้องดู เราต้องเล่นกับแมนฯ ซิตี้ และเชลซี ไม่ใช่ดูเพื่อเตรียมการฉลอง ผมไม่สนใจอะไรแบบนั้น (รวมถึงการแช่งแมนฯ ซิตี้ด้วย) ผมดูเกม เพื่อดูแมนฯ ซิตี้และเชลซี ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่น ผมไม่วางแผนอะไรเหล่านั้น”

สำหรับแฟนบอล อาจมีเหตุผลที่จะดู เชลซี-แมนฯ ซิตี้ต่างไปจนเยอร์เก้น คลอปป์ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม เราได้เห็นถ้วยพรีเมียร์ ลีกประดับตกแต่งสำหรับลิเวอร์พูลเป็นครั้งแรกอย่างแน่นอน เพราะนั่นคือเกมที่ลิเวอร์พูลมีโอกาสได้แชมป์จริงๆ เป็นครั้งแรกของฤดูกาลนี้

.

.

บทความโดย กิตติกร อุดมผล

Facebook fanpage: Captain No.12

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความก่อนหน้า :: บทความลิเวอร์พูล