#บันทึกแชมป์ประวัติศาสตร์ยุติการรอคอย 30 ปี ตอนที่ 9

“ถ้าชนะ 8 นัดติดต่อกันในลีกเป็นเรื่องง่าย  คงทำกันได้ตลอดเวลา ไม่ง่ายหรอกที่จะทำอย่างนั้น”

คลอปป์พูดหลังเกมเลสเตอร์ เกมที่ลิเวอร์พูลมีโอกาสทำแต้มหลุดมือมากที่สุด

“ถ้าชนะ 8 นัดติดต่อกันในลีกเป็นเรื่องง่าย  คงทำกันได้ตลอดเวลา ไม่ง่ายหรอกที่จะทำอย่างนั้น”

Match Day 8  5 October 2019

Liverpool 2 Leicester 1

นับแต่เริ่มฤดูกาล 2019-20 เลสเตอร์ของเบรนดัน ร็อดเจอร์ส ไม่ยอมเป็นทางผ่านง่ายๆ สำหรับเดอะ เร้ดส์

กว่าจะชนะได้ต้องอาศัยจุดโทษของเจมส์ มิลเนอร์ในนาที 95 และเกมล่าช้ายาวนานเพราะการพิจารณาของทีม VAR โดยแอนโทนี่ เทย์เลอร์

จากกลางสัปดาห์ ลิเวอร์พูลชนะซัลซ์บวร์ก 4-3 ในแชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่ม คลอปป์พักผู้เล่นหนึ่งคนจากเกมเชฟฟิลด์ ยูฯ โจเอล มาติปบาดเจ็บ โจ โกเมซยืนเซนเตอร์คู่กับเวอร์จิล ฟาน ไดค์ กลับมาเล่น EPL คลอปป์ให้เดยัน ลอฟเร็นเป็นตัวจริง และพักจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ส่งเจมส์ มิลเนอร์ลงแทน

จากเกมนี้ EPL พัก 2 สัปดาห์หลีกทางให้ทีมชาติลงสนาม และลิเวอร์พูลเป็นทีมเดียวในสี่ลีกอาชีพของอังกฤษที่สถิติชนะ 100 % และเป็นทีมแรกที่ทำแบบนี้ได้  2 ครั้ง หลังจากทำได้ครั้งแรกเมื่อ 90-91

ร็อดเจอร์ส อดีตผจก. ลิเวอร์พูลที่ใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์ EPL มากสุด คงหลอนจากเหตุการณ์ 2014 เมื่อแชมป์ลื่นหลุดมือพร้อมกับสตีเว่น เจอร์ราร์ดลื่นในเกมเชลซี แต่คราวนี้ ลิเวอร์พูลไม่ซวนเซ แต่เป็นเลสเตอร์

“เสียจุดโทษ นาที 95 เป็นอะไรที่ยอมรับได้ยาก ผมคิดว่าเราควรได้อะไรบางอย่าง” ร็อดเจอร์สกล่าว “เป็นจุดโทษที่ให้ง่ายไป ไม่ชัดเจนเลย ผมคิดว่าเขาฉวยโอกาสจากจังหวะนั้นได้ดี”

น่าจะหมายถึงมาเน่ดีดเสริมเมื่อโดนมาร์ก ออลไบรท์ตันชนด้านหลัง นี่คือประตูจากจุดโทษที่ 34 สำหรับลิเวอร์พูลในข่วงทดเจ็บ สำหรับ EPL มากกว่าทีมอื่นถีง 9 ประตู

เลสเตอร์กำลังคึกคะนอง ชนะในบ้าน 2 เกมรวด ท็อตแน่ม 2-1  และนิวคาสเซิ่ล 5-0 แต่เกมเยือนล่าสุดของพวกเขา แพ้แมนฯ ยูฯที่โอลด์ แทรฟเฟิร์ด 1-0

สถานการณ์ของลีก ลิเวอร์พูลนำอันดับ 2 แมนฯ ซิตี้ 5 คะแนน และเลสเตอร์อยู่อันดับ 3 ห่างไปอีก 2 คะแนน หากลิเวอร์พูลพลาดท่าให้เลสเตอร์เท่ากับเสีย 6 คะแนนและมีสิทธิ์โดนแมนฯ ซิตี้ขยับเข้าใกล้หากชนะวูล์ฟส์ที่เอติฮัดในวันรุ่งขึ้น

ร็อดเจอร์สได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเดอะ ค็อปในแอนฟิลด์ เฉกเช่น อดีตผจก. ทุกคนที่กลับมาเยือน แต่เขาไม่ต้องการมาเพื่ออวดรอยยิ้มและจับมือกับผจก. ฝ่ายตรงข้ามที่เช่าบ้านเขาแถววีร์รัล ลิเวอร์พูล

เลสเตอร์ดีขึ้นนับแต่ปลดโคลด ปูแอล ร็อดเจอร์สทำให้พวกเขาเล่นเป็นระบบ มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง โดยเฉพาะแบ๊คซ้ายขวา เบน ชิลเวลล์และริคาร์โด้ เปเรร่า ซึ่งสถิติพอฟัดพอเหวี่ยงกับโรเบิร์ตสันและอาร์โนลด์ คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟที่ดี จอห์นนี่ เอแวนส์ อดีตนักเตะแมน ฯยูฯที่หลุยส์ ฟาน ฮาล ขายทิ้ง เพื่อเปิดทางให้มาร์คอส โรโฮ แต่ผลงานของสองคนเมื่อเทียบกัน ว่ากันว่า แมนฯ ยูฯ ทิ้งโรลล์ส รอยซ์ แลกกับสโกด้าเครื่องคาร์บิวเก่าๆ

เกือบครึ่งชั่วโมง ที่แนวรับของเลสเตอร์ไม่ผิดพลาด น้อยทีมจะรอดได้นานขนาดนั้นเมื่อเยือนแอนฟิลด์ เมื่อได้โอกาส มาเน่ยิงติดชไมเคิ่ลและฟีร์มีโน่ยิงไม่เข้ากรอบ เลสเตอร์ได้ลุ้น และมาเน่ต้องช่วยบล็อกชิลเวลล์ถึงสองครั้ง รวมถึงลอฟเร็นโหม่งสกัดบอลที่เปิดโดยเดนนิส แพรต

เสียงประกาศจากลำโพงในสนามว่า เตรียมพร้อมสำหรับโอเปอเรชั่น แอนฟิลด์ (Stand by for Operation Anfield) ย้ำเตือนให้สจ๊วร์ตทุกคนเข้าประจำที่ ซักซ้อมการอพยพแฟนบอลในกรณีจำเป็น  นั่นอาจเป็นการเตือนร็อดเจอร์สและเลสเตอร์ว่า พวกเขาต้องเจออะไรบ้าง จากเดอะ เร้ดส์ที่ไม่หยุดนิ่ง

นาที 40 ลิเวอร์พูลโต้กลับเร็วจากด้านซ้าย โรเบิร์ตสันต่อบอลให้มิลเนอร์ที่อยู่ในแดนลิเวอร์พูล เกือบถึงกลางสนาม นักเตะอังกฤษเหลือบมองด้านหน้าก่อนบอลมา แล้วตวัดโดยไม่ต้องดู บอลลอยโค้งอ้อมหนี จอห์นนี่ เอแวนส์ พอดีกับซาดิโอ มาเน่โฉบหาบอล แตะบอลอีกสองทีมได้จังหวะยิง ก่อนเคกลาร์ ซอยซุนคูจะสกัดได้ ลิเวอร์พูลนำ 1-0

เกมที่ 100 ของมาเน่ในลีกกับลิเวอร์พูล และประตูที่ 50 ของเขากับลิเวอร์พูล เกมควรจบตั้งแต่ครึ่ง มาเน่หลุดอีกครั้ง จากการจ่ายของฟีร์มีโน่ แต่เขายิงตรงตัวชไมเคิ่ล ครึ่งแรก เลสเตอร์ไม่มีโอกาสยิงแม้แต่ครั้งเดียว ขณะที่ลิเวอร์พูลยิง 7 ครั้ง เข้ากรอบ 4 ครั้ง

ครึ่งหลังเลสเตอร์กล้าลุยมากขึ้น ขณะที่ลิเวอร์พูลพยายามประคอง รอส่วนกลับ เลสเตอร์ได้ยิง 2 ครั้ง เข้ารอบ 1 ครั้ง นั่นคือประตูตีเสมอที่ทำให้ทุกคนเชื่อว่า พวกเขาคือทีมแรกที่หยุดลิเวอร์พูลได้เมื่อขึ้นนำ มาร์ก ออลไบรท์ตันตัวสำรอง เปิดบอลให้อาโยซี่ เปเรซ อีกคนที่เป็นตัวสำรอง แตะให้เจมส์ แมดดิสัน พลิกตัวหนีการประกบของฟาน ไดค์ ก่อนถึงบอลแล้วยิงเรียดผ่านอาเดรียนสำเร็จ

เลสเตอร์เชื่อว่าพวกเขาทำได้ ลิเวอร์พูลเชื่อเช่นกันว่า ทำได้ การรักษาสถิติชนะรวดที่ยาวนานจากฤดูกาลที่ผ่านมา การบุกครั้งแล้วครั้งเล่า ลูกเตะมุม ร็อดเจอร์สต้องการหยุดเกมรุกของลิเวอร์พูล โดยเฉพาะโม ซาลาห์ นาที 86 เขาส่งฮัมซ่า เชาด์ฮูรี่แทนเจมส์ แมดดิสัน นาที 89 เขาเสียซาลาห์อย่างหนักขนาดคลอปป์ยังโมโหคาจนหมดเวลา

“ลูกนั้นน่ากลัวเหมือนตกนรก เจ้าหนุ่มนั่นต้องเล่นเบาๆหน่อย ถามว่าผมโอเคหรือไม่ ไม่หรอก จะโอเคได้ไง โมเจ็บ คนทำโดนแค่ใบเหลือง แต่โมกระเผลกจนจบเกม ทำให้เขาช้าลง แล้วผมจะโอเคได้ไง”

เดอะ ค็อปเริ่มใจไม่ดี แต่คราวนี้ไม่ได้กลัวแพ้ แต่กลัวเสมอ

ฉับพลันลิเวอร์พูลได้โอกาส โอริกี้ ซึ่งลงแทนฟีร์มีโน่ น 78 ได้บอลเกือบกลางสนาม หลบเปเรร่า แต่โดนออลไบรท์ตันแย่งได้ เผอิญว่า จังหวะแย่งบอล ออลไบรท์ตันแตะบอลกลับเข้าเขตโทษตัวเอง มาเน่ซึ่งรออยู่แล้ว พุ่งเข้าหาบอลอย่างเร็ว แล้วถึงก่อนนักเตะเลสเตอร์ทุกคน

เหตุการณ์นี้ บางคนมองว่า มาเน่ตั้งใจดีด บางคนมองว่า เพราะชไมเคิ่ลกับออลไบรท์ตันไม่เข้าใจกัน เป็นเหตุให้เสียจุดโทษ คริส คาวานาห์ ผู้ตัดสินให้จุดโทษ และแอนโทนี่ โอลิเวอร์พูล กรรมการ VAR เช็คแล้วยืนยันตามผู้ตัดสิน เจมส์ มิลเนอร์ รับหน้าที่สังหารจุดโทษ เขาส่งชไมเคิ่ลไปคนละทาง ลิเวอร์พูลนำ 2-1 และไม่นานจากนั้น เสียงนกหวีดยุติเกมก็ดังขึ้น

ลิเวอร์พูลนำห่างแมนฯ ซิตี้ 8 คะแนน รอให้แชมป์พยายามเก็บแต้มเพื่อรักษาช่องว่างเดิม ส่วนเลสเตอร์โดนทิ้งอยู่เบื้องหลัง ห่างถึง 10 คะแนนและหล่นไปอยู่ที่ 4

11 ตัวจริง อาเดรียน โรเบิร์ตสัน ฟานไดค์ ลอฟเร็น อาร์โนลด์ มิลเนอร์ ฟาบินโญ่ ไวนัลดุม มาเน่ ฟีร์มีโร่ ซาลาห์ (สำรอง เฮนเดอร์สันแทนไวนัลดุม น 78 โอริกี้แทนฟีร์มีโน่ น 78 ลัลลาน่าแทนซาลาห์ น 90)

6 October 2019 Manchester City 0 Wolves 2

วูล์ฟส์ไปเยือนแมนฯ ซิตี้ ในวันอาทิตย์และเล่นได้ยอดเยี่ยมมาก ผลกระทบจากการเสียอายเมอริค ลาปอร์ก ส่งผลอย่างชัดเจน ด้วย 2 ประตูจากอาดาม่า ทราโอเร่ นาที 80 และ 94 การทำประตูครั้งแรกของทาโอเร่หลังจากกันยายน 2018

ปัญหาเกมรับ ฉายแววตั้งแต่เกมกับเอฟเวอร์ตัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาชนะ 3-1 แต่โดนเอฟเวอร์ตันยิงเข้ากรอบถึง 8 ครั้ง มากสุดในยุคของเป็ป และแพ้นอริชในเกมก่อนหน้านั้น วูลฟ์สเป็นทีมแรกที่ชนะซิตี้ได้ในบ้าน นับจากธันวาคม 2018 เป็นครั้งแรกในรอบ 17 เดือนที่ซิตี้ยิงไม่ได้ในเอติฮัด เกมนั้น พวกเขาเจอฮัดเดอร์สฟิลด์ เมื่อพค 2018 และไม่มีผลอะไร เพราะซิตี้ได้แชมป์เรียบร้อย

ยิ่งกว่านั้น วูล์ฟส์มีภารกิจเดินทางไกล ไปกลับ 4,000 ไมล์ เพราะเกมยูโรป้า ลีกกับเบชิคตัส ครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่วูล์ฟส์ชนะซิตี้ในบ้าน และ 40 ปี หากเป็นการชนะในลีกสูงสุด

ทำให้ทีมของคลอปป์นำซิตี้ของเป๊ป 8 คะแนน เป็นการนำห่างที่สุดในยุค EPL จากการลงสนาม 8 นัดเท่ากัน

“8  แต้มมากทีเดียว” เป็ปกล่าว “พวกเขาไม่ทำแต้มหล่นเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันนี้ เราสร้างโอกาสน้อยกว่าเกมที่แพ้นอริชเสียด้วยซ้ำ เราเจอหลายทีมที่พยายามรับลึก หาวิธีเอาชนะยาก และวันนี้เราเจอปัญหา ดังนั้นจะดีกว่า หากเราไม่คิดว่า มีทีมหนึ่งที่นำเรา 8 คะแนน”

 

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี