ความสำเร็จต้องใช้เวลาและอาจยั่งยืน

ชีวิตผมมักมีปัญหาเพราะผมพูดมากไป (too much sh..t) ในอดีต

ชีวิตผมมักมีปัญหาเพราะผมพูดมากไป (too much sh..t) ในอดีต

แถมไม่มีใครลืมสิ่งเหล่านั้นสียด้วย” เยอร์เก้น คลอปป์ ตอบคำถามแบบนี้

ชีวิตผมมักมีปัญหาเพราะผมพูดมากไป (too much sh..t) ในอดีต

เมื่อนักข่าวย้อนถามนิยามฟุตบอลของเขาที่เคยให้ไว้ครั้งคุมดอร์ทมุนด์ “Heavy Metal Football”

ปีเตอร์ คราเวียตซ์ ผู้ช่วยคนสำคัญของคลอปป์อธิบายวิธีการทำงานว่า “พวกเราเหมือนวงดนตรี แต่ละคนมีอุปกรณ์ของตัวเอง”  คลอปป์แยกแยะความแตกต่าง หลากหลายระหว่างฟุตบอลของเขากับเป็ป กวาดิโอล่า ซึ่งมีความซับซ้อนมากกว่า

อันที่จริงฟุตบอลของคลอปป์สะท้อนตัวตนของผจก.ชาวเยอรมันผู้นี้อย่างชัดเจน บารมี เหนือคนธรรมดา แค่เห็นคนอื่นก็พร้อมทำตาม ไม่ใช่โค้ชที่มีภาพจัดเจนด้านแท็คติก คลอปป์ยอมรับว่า โวล์ฟกัง แฟรงค์ กุนซือผู้มีอิทธิพลต่อความคิดและการทำงานของเขาแนะนำให้ศึกษาวิธีการเล่นของเอซี มิลานในยุค 1990 ของอาร์ริโก้ ซ๊าคคี่ จนบอกได้ว่า ลิเวอร์พูลในปัจจุบันเล่นคล้ายๆกัน

มิลานของซ๊าคคี่ไม่เพียงแต่ควบคุมการกดดัน (pressing) คู่ต่อสู้ แต่ยังจัดระเบียบการกดดันนั้นๆ การไล่ฝ่ายตรงข้ามด้วยนักเตะหลายคน การทำเกมรุกซึ่งประกอบด้วยการเคลื่อนที่สุดซับซ้อนของกองหน้า มีคนบอกว่า เกมรุกของคลอปป์คล้ายเกมรุกของกวาดิโอล่าเมื่อคุมบาร์เซโลน่า

ข้อเท็จจริงคือ ลิเวอร์พูลภายใต้การทำงานของคลอปป์เล่นฟุตบอลแตกต่างจากสไตล์ของคลอปป์เมื่อครั้งเริ่มต้นเป็นผจก. ทีม นั่นหมายความว่า คลอปป์พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง ผจก.ทีมบางคน จะมีสไตล์ของตัวเองเหมือนเดิม ไม่ว่าทำทีมไหน เช่น แซม อัลลาไดซ์ หรือโจ รอยล์

คลอปป์สมัยเริ่มต้นเป็นโค้ช เขาชอบตะโกนสั่ง ใช้อารมณ์ดุดัน การพัฒนาตัวเองนำมาสู่การเล่นซี่งคราเวียตซ์บอกว่า ลิเวอร์พูลจะกดดันคู่ต่อสู้เป็นบางจังหวะ ไม่ใช่เล่นแบบนั้นตลอดเวลา ดังที่ยอมรับกันว่า ทีมที่ดีสามารถควบคุมการเล่นในเกมนั้นๆได้ ไม่ใช่เล่นตามคู่ต่อสู้

การผ่อนเกม เล่นตามจังหวะก่อนเร่ง ไม่ได้หมายความว่า ลิเวอร์พูลและคลอปป์ลืมปรัชญา เกเก้นเพรสซิ่ง “gegenpressing” หรือ “counter-pressing” ขออนุญาตใช้คำภาษาอังกฤษและเยอรมัน เพราะไม่มีคำแปลไทยที่เข้าใจได้ชัดเจนกว่านี้อีกแล้ว คลอปป์หรือกวาดิโอล่า อุทิศชีวิตให้หลักการโค้ชที่ว่า 5 วินาทีแห่งความโกรธแบบสุดๆ “five seconds of fury” ผู้เล่นพยายามแย่งบอลกลับมาตั้งแต่แดนของคู่ต่อสู้ เพราะนั่นคือจุดที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังจัดระบบ หรือเสียกระบวนที่สุด และกลายเป็นจุดอันตรายที่สุด

การปรับสไตล์การเล่นไม่เพียงพอ หากลิเวอร์พูลและคลอปป์ต้องการครองยุโรปและอังกฤษ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือนักเตะ เพราะพวกเขาต้องทำหน้าที่เหล่านั้น แผนการใดๆก็ตาม จะประสบความสำเร็จก็ต่อเมื่อนักเตะสามารถปฏิบัติได้

อันนี้ต้องชื่นชมคลอปป์และลิเวอร์พูล พวกเขาไม่ซื้อนักเตะตามเสียงเรียกร้องหรือเพราะต้องสูญเสียใครไปเหมือนอดีต จะซื้อก็ต่อเมื่อนักเตะคนนั้นเหมาะสมที่สุด ไม่สนใจตัวเลือกอันดับสอง สามหรือสี่ แบบผจก.บางคนเคยทำ อันนี้ไม่ต้องพาดพิงถึงสโมสรอื่น แบรนดัน ร็อดเจอร์สเคยทำเมื่อครั้งคุมลิเวอร์พูล การเสียหลุยซ์ ซัวเรซ แต่ทดแทนด้วยใครก็ได้ ระดับมาริโอ บาโลเตลลี่และคริสติยง เบนเตเก้

นักเตะ 4 คนที่น่าจะทำให้แผนการของคลอปป์บรรลุเป้าหมายคือ โม ซาลาห์ ฟาบินโญ่ เวอร์จิล ฟานไดค์และอลิซง

ก่อนหน้า 4 คนนี้มาร่วมทีม ลิเวอร์พูลเล่นฟุตบอลได้น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ขาดความนิ่งหรือการควบคุม ไม่น่าแปลกใจหากฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลชนะ 32 เกม มี 14 เกมที่ชนะแค่ประตูเดียว ผิดกับแมนฯ ซิตี้ซึ่งยิงได้มากมาย  แต่ขาดการควบคุมเกมที่ดี

นักเตะ 4 คนดังกล่าว ทำให้ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากรถที่ต้องวิ่งเร็วตลอดเวลา 100 ไมล์ขั่วโมงเหลือแค่ 90 ไมล์ต่อชั่วโมง เก็บแรงไว้ในช่วงที่จำเป็น และไม่หมดแรงก่อนหมดเวลา จนฝ่ายตรงข้ามจู่โจมได้ พวกเขามีเกมสวนกลับเร็ว จากอลิซงถึงซาลาห์ 10 วินาทีได้ประตูจากแมนฯ ยูฯ การครองเกมของฟาบินโญ่ หรือการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่นจากฟาน ไดค์และอลิซง

ตรงกันข้ามกับเมื่อก่อน นำ 2 หรือ 3 ประตู แต่โดนตีเสมอหรือโดนแซง ลิเวอร์พูลมักเป็นฝ่ายแซงกลับมาชนะได้

จากระบบ 4-2-3-1 เมื่อปี 2015 พัฒนาเป็น 4-3-3 เมื่อซาดิโอ มาเน่ในฤดูกาลต่อมา สุดท้ายเมื่อ โม ซาลาห์ย้ายมาในฤดูกาล 2017-18 ทำให้เกมแบบ 4-3-3 ของเขาสมบูรณ์จนคลอปป์พูดถึงซาลาห์ในเกมที่ลิเวอร์พูลชนะคริสตัล พาเลซ 4-0 เมื่อ 24 มิถุนายนว่า ทำให้สนามใหญ่กว่าเดิม ซึ่งคราเวียตซ์อธิบายวิธีการใช้ซาลาห์ของลิเวอร์พูลว่า “เพื่อใช้ความสามารถของซาลาห์ให้ดีที่สุด การลงมาพาบอลไป เราปรับการเล่นให้แตกต่างจากเดิม ไม่สวนกลับตามจังหวะที่มี แต่กำหนดรูปแบบการเล่นให้เป็นระบบ”

หรือสร้างโอกาสไม่ใช่รอโอกาส

ฤดูกาลนั้น แอนดี้ โรเบิร์ตสันแทนที่อัลแบร์โต้ โมเรโน และฟาน ไดค์ย้ายมาในเดือนมกราคม ทำให้เกมรับแข็งแกร่งขั้นทันที ต้นฤดูกาลจนถึงธันวาคม 2017 ลิเวอร์พูลเสียประตู 24 ประตู จนนั้นมาเสียแค่ 13 ประตู และสามารถเล่นเกมรับแบบแนวสุดท้ายดันสูงได้

ต่อมาโรเบิร์ตสันประสานงานกับเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปลี่ยนวิธีการบุกและการเล่นของฟูล-แบ็ค ซึ่งกวาดิโอล่าและเมาริซิโอ พอเช็ตติโน่ก็ใช้ เมื่อมี ไคล์ วอล์คเกอร์และแดนนี่ โรส

เมื่อฟูล-แบ็ค 2 ข้างทำเกมรุก เท่ากับคลอปป์สามารถเติมความมั่นคงในแผงกลาง 3 คนได้ โดยไม่ต้องเหลือที่ให้นักเตะแบบเปลิเป้ คูตินโญ่ หรืออาศัยกลางทำเกมรุกเป็นหลัก แต่ช่วยกันบีบฝ่ายตรงข้ามได้

หลังจากแพ้มาดริดในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก ลิเวอร์พูลได้ฟาบินโญ่และอลิซง ทำให้การเล่นของลิเวอร์พูลยิ่งเป็นระบบมากกว่าเดิม เหมือนที่เป็ป ไลน์เดอร์สสรุปความว่า ลิเวอร์พูลพยายามควบคุมความสับสนของทีมจากปี 2018-19 “organised chaos”. ซึ่งจบลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการคว้าแชมป์ยุโรป แชมป์สโมสรโลก และแชมป์พรีเมียร์ ลีกในที่สุด

คลอปป์ไม่ได้นำเฮฟวี่ เมทั่ลฟุตบอลมาให้ลิเวอร์พูล หรือทำให้ลิเวอร์พูลเป็นดังตัวตนของเขา แต่เขานำวิวัฒนาการมาสู่ลิเวอร์พูล การวางแผน เทคนิค วิธีการ และสุดท้าย การปฏิบัติตามแผนนั้นให้งดงามที่สุด

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี