ชีวิตนักเตะในทีมของเยอร์เก้น คลอปป์ (3)

ชีวิตนักเตะที่แสนธรรมดาของคลอปป์กับไมนซ์

สอนให้เขาชาชินกับความพ่ายแพ้และควบคุมอารมณ์ได้

ชีวิตนักเตะที่แสนธรรมดาของคลอปป์กับไมนซ์

ตอนหนุ่ม เขาปล่อยให้ความผิดหวังครอบงำ ในที่สุดเขาพบว่าอารมณ์นั้นส่งผลต่อผลงานในเกมต่อไป

ความเข้าใจเกมอย่างถ่องแท้ทำให้เขาชี้จุดที่ผิดพลาดได้ การนับถือนิกายโปรเทสเตนท์ทำให้เขาอยู่ในโลกแห่งความจริงมากขึ้น ยอมรับความผิดหวังของชีวิต เข้าใจว่าทำไมถึงมีความผิดหวัง จากนั้นก้าวต่อไป

 

กูเนช อดีตนักเตะของไมนซ์บอกว่าโชคดีกับการร่วมงานกับยอดโค้ช 3 คน นอกจากคลอปป์ ก็มีโฮลเกอร์ สตานิสลาฟสกี้ และราฟห์ ฮาเซนฮูเทิ่ล ซี่งเขาบอกว่า แต่ละคนล้วนแต่จริงใจมาก

 

เขาจำคำพูดของคลอปป์ได้ดี “อย่าให้ความพ่ายแพ้ลงโทษคุณ 2 รอบ อย่ายึดติด อย่าเอาความรู้สึกไม่ดีลงสนามในเกมต่อไป” คำแนะนำของคลอปป์ชัดเจนสำหรับแต่ละเกม “หากคุณห่วยแตกในเหตุการณ์หนึ่ง อย่าให้มันลากคุณลงเหว ไม่งั้นคุณจะห่วยในการเล่นครั้งต่อไป จงเชื่อมั่นไว้”

 

คลอปป์ไม่กล่าวโทษช่วงที่เลวร้าย และอยากให้นักเตะคิดแบบเดียวกับเขา ใครไม่อยู่ในโซนเดียวกันก็หลุดจากทีม “ผมจำนักเตะคนหนึ่งได้ มาร์คัส ฟูลเนอร์ โดนเปลี่ยนตัวตั้งแต่ต้นเกมอุ่นเครื่อง เพราะเขาไม่เล่นในจังหวะเปลี่ยนเกมอย่างที่คลอปป์ต้องการ” กูเนชเล่า “เขาติดตามนักเตะตลอด อยากเข้าใจความคิด หรืออะไรที่ทำให้คนนั้นเล่นดี เขามีจิตใจที่เปิดกว้าง เข้าถึงได้ ผมจำได้ว่า พ่อผมประทับใจเขามากจากโอกาสเจอกันหนึ่งครั้งเมื่อเกมจบ เขาสุภาพและทำตัวเรียบง่าย”

 

“เรื่องเหล่านี้ส่งผลต่อนักเตะ คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจความต้องการของนักเตะหรอก แต่ใครก็ตามที่ใส่ใจ แสดงให้เห็นนักเตะเห็นว่าสนใจพวกเขาแค่ไหน รับรองว่านักเตะพร้อมจะทุ่มเทมากขึ้น ขยันกว่าเดิม หากนักเตะรู้สึกว่า พวกเขาเป็นที่รักและมีค่าในฐานะมนุษย์อีกคน”

 

ไวนัลดุมเป็นนักเตะสำคัญคนแรกที่คลอปป์ซื้อ และกลายเป็นคนสำคัญในทีม เขาบอกว่า จุดแข็งสุดของคลอปป์คือการอ่านสถานการณ์และตอบสนองได้ดีที่สุด

 

“ตอนที่ผมพลาดในเกมกับบอร์นมัธ –จ่ายบอลย้อนหลัง ทำให้โจชัว คิงยิงได้เมื่อปี 2017 เขาบอกผมในห้องแต่งตัวว่า เฮ มันจบแล้ว เราไม่สามารถเปลี่ยนมันได้ มีสมาธิกับสิ่งที่เราทำได้เพื่อเปลี่ยนให้เกมดีขึ้นดีกว่า เขาจะโกรธหากคุณเล่นไม่เต็มที่หรือไม่เล่นตามที่ถนัด  หากเป็นอย่างนั้น เขาจะบอกคุณ และเขาพยายามช่วย เขาทำให้คุณรู้สึกว่า เขาพร้อมหนุนคุณเต็มที่”

 

เปอร์เซนต์ชนะของคลอปป์ดีขึ้นทุกครั้งเมื่อเขาเปลี่ยนงาน ที่ไมนซ์เขาชนะ 40.6 % แพ้ 83 จาก 270 นัด ที่ดอร์ทมุนด์ เพิ่มเป็น 56 % แพ้ 70 นัดจาก 316 นัด ขณะที่เขาคุมลิเวอร์พูลมา 279 นัด ชนะ 170 เสมอ 63 แพ้ 46 เท่ากับ 60.9 %

 

เฉลี่ยแล้ว เปอร์เซนต์ชนะของคลอปป์ตลอดการเป็นผจก. คือ 52.7 % ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างเป็ป กวาดิโอล่า โจเซ่ มูรินโญ่ คาร์โล อันเชล็อตติ ซีเนอดีน ซีดาน และอันโตนิโอ คอนเต้ แต่เส้นทางของคลอปป์แตกต่างจากเขาเหล่านั้น เขาทำงานกับ 3  ทีม และแต่ละทีมมีระยะเวลานาน

 

แต่ละครั้งที่เขาเริ่มงาน ทีมอยู่ในจุดตกต่ำ ไม่ประสบความสำเร็จ เท่ากับต้องใช้เวลาและความอดทนสำหรับการแก้ปัญหา โดยผลงานช่วงแรกของแต่ละทีมไม่เหมือนช่วงท้าย

 

การเปิดตัวกับลิเวอร์พูล เขาพูดถึงสโมสรที่แบกเกียรติประวัติในอดีตมากเกินไป เขารู้ดีว่า งานที่รออยู่ไม่เพียงแต่ต้องปรับอารมณ์นักเตะและสโมสรแต่รวมถึงเมืองด้วย ดังนั้นการรับความผิดหวังสำคัญเท่ากับความสำเร็จ โดยเฉพาะช่วงแรก คลอปป์ยืนยันว่า ทุกคนต้องเจอความผิดหวังบ้าง ช่วงนั้นเขาต้องบอกทางนักเตะให้ชัดเจนที่สุด บางทีนักเตะบอกเขาเหมือนกันว่า พวกเขามาไกลแค่ไหนกับคลอปป์ และไม่มีทางทำให้สถานการณ์ดีกว่านี้

 

ความพ่ายแพ้ในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีกที่เคียฟเป็นหนึ่งในเหตุการณ์เหล่านั้น เขาสรุปเกมให้นักเตะฟังแบบสั้นที่สุด แค่ย้ำว่าภาคภูมิใจมากแค่ไหน เช่นเดียวกับสถานการณ์พร้อมจะผิดพลาด ไม่มีทางที่ลิเวอร์พูลจะเป็นผู้ชนะได้ เขาผิดหวัง แต่นักเตะเชื่อเขา เมื่อบอกนักเตะว่า นี่จะไม่ใช่นัดชิงครั้งสุดท้ายด้วยกัน ความเจ็บปวดที่เคียฟจะผลักดันพวกเขาให้ไปไกลกว่าเดิมในครั้งต่อไป

 

ทีมกลับถึงเมลวู้ดตอน 6 โมงเช้า เขาบอกนักเตะระหว่างดื่มด้วยกัน “นี่คือจุดเริ่มต้น ไม่ใช่จุดจบ เป็นอีกหนึ่งก้าว ชีวิตเป็นแบบนี้ หากเราคิดว่าทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบเท่านั้น เราไม่มีทางอยู่รอดในโลกอย่างแน่นอน บางครั้ง เราต้องยอมรับว่า มีคนเก่งกว่า บางคนมีโชคมากกว่า และผมยอมรับมาตั้งนานแล้ว ผมรู้ว่าผมจะได้เข้าชิงอีก ผมจะพยายามให้ทุกคนเข้าถึงรอบชิงครั้งต่อไป แล้วเราจะพลิกสถานการณ์ ผมมองแบบนี้”

 

ก่อนนัดชิงที่เคียฟ เขาลดความกังวลในห้องแต่งตัวก่อนเจอทีมของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ “ทุกคนเครียด เขาเริ่มต้นการประชุมด้วยการเปิดให้เราเห็นบ๊อกเซอร์ CR7” มิลเนอร์เปิดเผย “เอาชายเสื้อยัดในขอบกางเกงใน เราหัวเราะ ความเครียดหายไป ผจก.ของเรา คุณได้ในสิ่งที่คุณเห็น”

 

12 เดือนต่อมา ลิเวอร์พูลเอาชนะท็อตแน่มที่มาดริด ในเกมที่แสดงถึงความเด็ดขาดของทีม คลอปป์เน้นลูกทีม พลาดให้น้อยที่สุด และพยายามตอบสนองต่อการตัดสินที่คิดว่าไม่ถูกต้องในทางที่ดี ไม่ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร และนั่นคือคำแนะนำที่ดี

 

คลอปป์ตระหนักดีกว่าความกดดันของนักเตะลิเวอร์พูลมากกว่านักเตะดอร์ทมุนด์ การรอคอยแชมป์ลีกและสถานการณ์เมื่อเขารับตำแหน่ง ดอร์ทมุนด์รอแชมป์ 6 ปี แต่ลิเวอร์พูลรอมา 1 ใน 4 ศตวรรษ บรรยากาศความตึงเครียดพุ่งถึงขีดสุด ดังนั้นนักเตะไม่ควรอ่านเรื่องราวต่างๆตามสื่อมากเกินไป โดยเฉพาะเวลาผลการแข่งขันไม่ดี เขาพยายามนำทีมให้ผ่านช่วงเวลานั้น นอกจากนี้ นักเตะต้องรู้วิธีรับมือกับความเครียด

 

เขาเปิดเผยกับเพื่อนเป็นการส่วนตัวว่า จุดเปลี่ยนของทีมคือชัยชนะเหนือแมนฯ ซิตี้ในแชมเปี้ยนส์ ลีกรอบควอเตอร์เมื่อปี 2018 ซิตี้พยายามถล่มอย่างหนักในครึ่งแรกและครองเกมดีกว่า เพราะต้องการพลิกสถานการณ์จากตกเป็นรอง 3-0 เพราะผลนัดแรก หากลิเวอร์พูลแพ้ ความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของทีมที่เสริมด้วยเวอร์จิล ฟาน ไดค์จะหมดไป

 

โดยปกติ คลอปป์เป็นคนนำสรุปเกมระหว่างพักครึ่ง เขารีบวิ่งจากเขตเทคนิคเข้าห้องแต่งตัวก่อนใคร รับฟังสรุปจากทีมคลิปวิดีโอระหว่างรอนักเตะเข้ามาให้ครบ คราวนั้น เขารู้ดีว่าใจนักเตะกำลังระอุเมื่อเข้าสู่ห้องแต่งตัว นำโดยลอฟเร็น แทนที่จะเริ่มพูด เขานั่งรับฟังนักเตะระบายก่อน ให้ลอฟเร็นแสดงความไม่พอใจการเล่นระหว่างกองหลังและแดนกลาง มิดฟิลด์ต่างตำหนิว่ากองหลังถอยลึกเกินไป กองหลังก็ตำหนิมิดฟิลด์ว่าเพรสน้อยเกินไป ทำให้กองหลังไม่มีทางเลือก

 

การเผชิญหน้าระหว่างสองไลน์ ทำให้คลอปป์สามารถบอกนักเตะว่า มีจุดหรือสองจุดที่พวกเขาไม่ทำตามคำแนะนำของโค้ช ลิเวอร์พูลต้องไม่ลืมว่า จัดการซิตี้มาแล้ว 2 ครั้งในฤดูกาลนั้น เหนือสิ่งอื่นได เขาบอกทีม ไม่ต้องพยายามหยุดซิตี้ แต่ต้องพยายามทำประตูเพื่อเบิกทางสู่รอบ 4 ทีมสุดท้าย

 

“เขาคิดถึงการเอาชนะอย่างเดียว” แหล่งข่าวภายในทีมเปิดเผย “หากคืนนั้นเราตกรอบ คงทำลายความมั่นใจของทีม แต่การให้นักเตะแสดงความเห็น ระบายทุกอย่างออกมา แสดงความเขาเชื่อมั่นนักเตะว่าสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ และนักเตะทำได้”

 

ลิเวอร์พูลเคยโดนถล่ม 3-0 ที่วัตเฟิร์ดเมื่อปี 2015 ทุกคนคิดว่าเขาจะเลิกปาร์ตี้คริสต์มาส แต่ตรงกันข้าม เขานำทีมฉลองอย่างสุดเหวี่ยงโดยกำชับทุกคนว่า ห้ามกลับบ้านก่อนตี 1 “ไม่ว่าเราทำอะไรด้วย เราทำให้ดีที่สุด คืนนี้เราปาร์ตี้” เขาส่งข้อความหานักเตะและสตาฟทุกคนขณะลงเครื่องบิน

 

6 เดือนต่อมา ลิเวอร์พูลต้องเจ็บช้ำเพราะแพ้เซบีญ่าในนัดชิงยูโรป้า ลีกที่บาเซิ่ล เขาปลุกใจนักเตะเมื่อทีมกลับถึงโรงแรม แน่นอนเขาผิดหวังในความพ่ายแพ้ แต่ต้องทำในฐานะผู้นำ และจบการกล่าวด้วยประโยคว่า “เราคือลิเวอร์พูล We are Liverpool”

 

ความผิดหวังล่าสุดคือเกมที่แอสตัน วิลล่า เขาไม่พูดอะไรมากหลังเกม แต่ส่งข้อความถึงนักเตะขณะพวกเขาเดินทางไปเล่นทีมชาติ นี่คือผลงานแย่ที่สุดนับตั้งแต่คุมทีมลิเวอร์พูล ความผิดพลาดมากมาย จนเขาต้องเวลาเรียบเรียงก่อนสรุปว่า ทีมของเขาแย่แค่ไหน นักเตะทุ่มเทมากมายเพื่อเขาและไม่ค่อยออกนอกลู่นอกทางตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น มันไม่ยุติธรรมหากจะอัดนักเตะอีกครั้ง และเป็นการตำหนิกันซึ่งหน้า

 

เขาจำได้สิ่งที่บอกนักเตะไมนซ์และกุนเนชในช่วงแรกของการเป็นผจก.ว่า “อย่าให้ความพ่ายแพ้ลงโทษคุณมากกว่า 1 ครั้ง”

 

 

 

บทความโดย  :: กิตติกร อุดมผล.  แปลจาก What is it like to play for Jurgen Klopp? ใน The Athletic

อ่านข่าวฟุตบอลต่างประเทศ :: ข่าวฟุตบอลวันนี้

บทความฟุตบอล :: บทความฟุตบอลก่อนหน้านี้

เว็บดูบอลออนไลน์ :: ดูบอลออนไลน์ฟรี